นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การส่งออกในไตรมาส 4 ปีนี้ ยังน่าเป็นห่วง ดูจากตัวเลขการส่งออกเดือนตุลาคม 2562 ติดลบ 4.5% แต่ก็ยังหวังว่าเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมจะมีคำสั่งซื้อและส่งออกเพื่อใช้ในเทศกาลคริสมาสต์ ปีใหม่ และตรุษจีนในปี63 ช่วยดันยอดส่งออกเป็นบวกได้บ้าง แต่เมื่อรวมตัวเลขการส่งออกทั้งปี ที่ 10 เดือนติดลบแล้ว 2.4% ก็อาจทำให้ตัวเลขติดลบต่ำกว่า 2% เนื่องจากปัจจัยกดดันหลายประการที่สำคัญ คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่อย่าง จีนที่จีดีพีหดตัวเหลือ 6% และอินเดียจีดีพีหดตัวเหลือ 5% ทำให้กระทบกำลังซื้อและการส่งออกทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐกับจีน(เทรดวอร์) และถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความชดัเจนที่จะมีการหารือกันของ 2 ส่วนที่จะยุติปัญหาสงครามการค้า รวมถึงปัจจัยค่าเงินบาทแข็ง ทำให้การแข่งขันด้านราคาไทยลดลง
” นอกจากปัจจัยเรื่องเทรดวอร์แล้ว ยังจะมีเรื่องเหตุประท้วงในฮ่องกง เป็นปัจจัยกดดันใหม่ หากสหรัฐฯเข้าไปแทรกแซงโดยใช้การค้าเป็นตัวบีบจีน ยิ่งมีผลกระทบรุนแรงต่อการค้าโลก และกระทบต่อส่งออกไทย เพิ่มเติมจากเทรดวอร์ที่มีอยู่เดิม อาจทำให้การส่งออกปี 2563 ยังน่าเป็นห่วงมากและมีโอกาสส่งออกขยายตัวเป็น 0% “นายอัทธ์ กล่าว
นายอัทธ์ กล่าวว่า ไม่แค่ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าเท่านั้น ที่กดดันเศรษฐกิจไทย กำลังซื้อในประเทศและความเชื่อมั่นต่อการลงทุนเพิ่มหรือลงทุนใหม่ตอนนี้ชะลอตัวมาก และการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกมาแสดงความเป็นห่วงและจี้ไปถึงการทำงานของทีมเศรษฐกิจ นั้น ขณะนี้การสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นต่อการลงทุน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบต่อเศรษฐกิจเท่าๆกับปัจจัยภายนอก ดังนั้น หากใช้เวลานี้ในการปรับทีมเศรษฐกิจ โดยมีการเสริมทีมเศรษฐกิจใหม่และมีการดึงผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชน(ซีอีโอ) เพื่อใช้ความรู้ความสามารถในการแก้ปัญหาระยะสั้น
” การปรับทีมเศรษฐกิจในช่วงที่คนมองว่าเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น น่าจะส่งผลต่อจิตวิทยาแง่บวก โดยเฉพาะเอามือใหม่น่าเชื่อถือในภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในตลาดต่างประเทศยิ่งดี มาช่วยดึงความเชื่อมั่น และควรให้อิสระต่อการตัดสินใจด้วย และน่าจะเริ่มปรับบางส่วนได้ก่อนปีใหม่ “นายอัทธ์ กล่าว
