‘เอซีย พลัส’ รับหุ้นไทย-เศรษฐกิจ ปี 63 เข้าสู่ภาวะขาลง หลังถูกโควิด-19 ฉุดแรง

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอพีเอส(ASP) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย และเศรษฐกิจไทยช่วงต้นปี 2563 จนทำให้อยู่ในช่วงขาลง อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องโครงสร้างภายในประเทศเอง และความไม่แน่นอนทางการเมืองด้วย ซึ่งในส่วนของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่เกิดขึ้น ขณะนี้ สาเหตุมาจากรัฐบาลยังคงทำในสิ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน ซึ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยเสี่ยงขณะนี้ มองว่ารัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่จะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของทั้งคนในประเทศและต่างชาติ รวมถึงเร่งรัดในการสร้างความเชื่อมั่นกลับมา พร้อมทั้งเรียงลำดับความสำคัญในการดำเนินนโยบาย เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ แต่ถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับลดระดับลงในขณะนี้ ยังมองว่านักลงทุนมีโอกาสเข้าซื้อสะสมจากราคาหุ้นที่ถูกลง เพราะหุ้นหลายตัวยังมีพื้นฐานแข็งแกร่ง ส่วนหุ้นกลุ่มที่ควรเลี่ยงคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (เอ็นพีแอล) เพราะได้ผลกระทบโดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้

นายก้องเกียรติกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาในเชิงโครงสร้าง อาทิ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ในปี 2562 ต่ำกว่าปี 2561 และคาดว่าในปี 2563 ก็ยังไม่ดีขึ้น รวมถึงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน ก็เห็นว่าแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน สะท้อนได้จากบริษัทขนาดใหญ่ของไทย 20 อันดับแรก แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงปี 2540 โดยรายได้หลักของประเทศไทยยังคงพึ่งพาภาคท่องเที่ยว และภาคการส่งออกเป็นหลักมาโดยตลอด และไม่ได้มีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้เท่าทันตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จึงมองว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ และเพิ่มศักยภาพของคนในประเทศมากขึ้น ไม่ใช่การแจกเงินที่ควรแจกเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น แต่หากแจกเงินเรื่อยๆ จะสะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีช่องทางอื่นที่สามารถทำได้เพิ่มเติมแล้ว รวมถึงต้องไม่เน้นพัฒนาเพียงแค่โครงสร้างหรือตึกรามบ้านช่องอย่างเดียว เพราะเชื่อว่าหากไทยยังเป็นแบบนี้ต่อไป ในอีก 5 ปีข้างหน้าประเทศเพื่อนบ้านจะแซงหน้าไทยไปหมด

ข้อมูลในตอนนี้ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจยังไม่ถึงกับเข้าสู่ภาวะทดถอย และหวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้ธุรกิจปรับตัวได้ยากมากขึ้น จากเดิมที่ภาคธุรกิจปกติก็ปรับตัวได้ช้าอยู่แล้ว ส่วนภาพต่อจากนี้มองว่า ควรปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง เพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะการปรับในด้านโครงสร้างและการพัฒนาสมองของบุคคล รวมถึงมองว่ารัฐบาลควรอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้นกว่าในปัจจุบันนายก้องเกียรติกล่าว

นายก้องเกียรติกล่าวว่า ในยุคปัจจุบันเป็นยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีดิสรัปชั่น จึงจะเห็นว่าบริษัทชั้นนำของโลกในปัจจุบัน ต่างดำเนินธุรกิจในด้านเทคโนโลยีเกือบทั้งหมด ขณะที่ในตลาดหุ้นไทยไม่มีบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในด้านเทคโนโลยีแม้แต่บริษัทเดียว โดยในยุคดิจิทัลขณะนี้ จะเห็นถึงความคึกคักของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี จึงจำเป็นที่จะต้องมีบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ ในการรองรับการขยายตัวของธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องเร่งปฏิรูป ในส่วนของเรื่องปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทย เกิดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะทำ และปล่อยให้เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเก็งกำไรในพันธบัตรรัฐบาลมากเกินไป จึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งธปท.ต้องหามาตรการควบคุมค่าเงินบาทให้สมดุลมากกว่านี้ต่อไป

Advertisement

นายก้องเกียรติกล่าวว่า ในปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 1,918 ล้านบาท กำไรสุทธิ 359 ล้านบาท โดยมีรายได้จากธุรกิจบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศ สัดส่วน 40% ลดลงจาก 45% ในปีก่อน, รายได้จากธุรกิจกองทุนรวมและรายได้จากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ 26% เท่าปีก่อน, รายได้จากธุรกิจแคปปิตอลมาร์เก็ต และวาณิชธนกิจ เพิ่มเป็น 16% จาก 14% ปีก่อน และรายได้จากธุรกิจการลงทุนของบริษัทเอง เพิ่มเป็น 18% จาก 14% ปีก่อน โดยในปี2563 ตั้งเป้ารายได้รวมโตไม่น้อยกว่า 10% จากปี 2562 โดยจะรุกธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่ ธุรกิจบริการซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจบริหารสินทรัพย์

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่

เพิ่มเพื่อน

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image