ใครที่เคยไปสักการะศาลหลักเมือง ก็คงได้เห็นว่า ภายในศาลมีหลักเมืองอยู่ 2 ต้น “หลักเมืองกรุงเทพฯ” ต้นแรกสร้างขึ้น เมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีแห่งใหม่ แทนกรุงธนบุรี ภายหลังรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างหลักเมืองเพิ่มขึ้นอีกต้น
แต่ทำไมกรุงเทพฯ ต้องมีหลักเมือง 2 ต้น เหตุใดรัชกาลที่ 4 ทรงสร้าง “หลักเมืองกรุงเทพฯ” เพิ่มขึ้น สวรรค์ ตั้งตรงสิทธิกุล อธิบายไว้ในบทความชื่อ “หลักเมืองกรุงเทพฯ : สัญญะศูนย์กลางแห่งพระราชอาณาจักรบนแผ่นดินพระจอมเกล้าฯ” ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤษภาคม 2567
สวรรค์ ตั้งตรงสิทธิกุล อธิบายถึงหลักเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 1 ว่า
“…การตั้งเสาหลักเมืองให้เป็นหมุดหมายแรกทางฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรี โดยเชื่อมแกนเมืองมาจากพระบรมธาตุของ
วัดบางหว้าใหญ่ทางฝั่งตะวันตก เพื่อให้ที่ตั้งกลางเมืองใหม่อยู่ในตำแหน่ง ‘ศีรษะปถพี’ ที่มีความสัมพันธ์กับไตรภูมิโลกวินิจฉัย ซึ่งมีนัยโลกใหม่ (ราชธานีแห่งใหม่) และมีฐานะเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งแรกหลังจากปราบดาภิเษก…”
โดยหลักเมืองกรุงเทพฯ ดังกล่าว ยังมีความสัมพันธ์กับสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ เช่น วังหลวง, วังหน้า, ทุ่งพระเมรุ ฯลฯ ถึงรัชกาลที่ 4 ขอบเขตพื้นที่ของกรุงเทพฯ มีขนาดเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของเมืองที่ผ่านช่วงเวลามากว่า 70 ปี
หลักเมืองกรุงเทพฯ เดิมที่ใช้งานมานานชำรุด นอกจากบูรณะหลักเมืองกรุงเทพฯ ต้นเก่า รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างหลักเมืองกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นอีกต้น โดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น บริบทของบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่เมืองกรุงเทพฯ ขยายเพิ่มขึ้น, สถานการณ์ของบ้านเมือง, สภาพสังคม ฯลฯ ประกอบกับพระองค์ทรงมีความรู้และเข้าใจโหราศาสตร์
นอกจากนี้ สมัยรัชกาลที่ 4 “โลกทรรศน์” ของสังคมโลกได้รับอิทธิพลทางแนวคิด “สัจนิยม” จากชาติตะวันตก พระองค์จึงได้ทรงบูรณาการองค์ความรู้แนวคิด “สมัยใหม่” ร่วมกับคติ ความเชื่อในด้าน “ความศักดิ์สิทธิ์” ที่เป็นคติความเชื่อ เดิมเข้าไว้ด้วยกัน
จึงทำให้ หลักเมืองกรุงเทพฯ ที่สร้างขึ้นในคราวนี้ มีบทบาทของหลักเมืองเปลี่ยนไปจากเดิม
หลักเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 4 ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่หมุดหมายในการเป็น “หลักชัย” ตามสภาวการณ์สำคัญสุดของเมืองในสมัยนั้น แต่ยังเป็นที่เคารพสักการะในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทวดา (ประจำเมือง) ที่จะช่วยปกป้อง คุ้มภัย ซึ่งเป็นผลให้เกิดธรรมเนียมนิยมการสร้าง “หลักเมือง” ในจังหวัดต่างๆ ของไทยจำนวนมาก
ในที่นี้ ขอยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของหลักเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องนัยของการใช้ไม้สักและไม้ชัยพฤกษ์ทำเสาหลักเมือง โดยใช้ไม้สักเป็นแกนกลางของเสาหลักเมือง ไม้ชัยพฤกษ์ 6 แผ่นประกับ การเลือกใช้ไม้ดังกล่าวสร้างเสาหลักเมืองมี “สัญญะ” ทางด้านคติและความศักดิ์สิทธิ์ โดยสัมพันธ์กับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
ไม้สักที่ใช้เป็นไม้แกนของเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ พจนานุกรม (ร.ศ.120) และพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ให้ความหมายของคำว่า “สัก” สรุปได้ว่า เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง เนื้อไม้แข็งและคงทน ปลวกไม่กิน เหมาะแก่การสร้างบ้านเรือนและเครื่องใช้ ส่วนคำว่า “สักกะ” หมายถึง อาจ, อำนาจพระอินทร์ หรือวงศ์กษัตริย์, เชื้อสายของพระพุทธเจ้า
สวรรค์ยังอธิบายว่า จากคำอธิบายข้างต้น ความหมายของ “สัก” ที่อาจมาจาก “สักกะ” คือพระอินทร์ ในฐานะเทวดาสูงสุด จึงสัมพันธ์กับกรุงรัตนโกสินทร์ในฐานะเมืองของพระอินทร์ และชื่อเต็มของกรุงเทพฯ ที่รัชกาลที่ 4 ทรงปรับปรุงขึ้นใหม่ว่า
“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์”
ส่วนไม้ชัยพฤกษ์ทั้ง 6 แผ่น ที่ใช้ประกับโดยรอบแกนของไม้สัก นอกจากชื่อที่เป็นมงคลแล้ว ยังสื่อถึงกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองศูนย์กลางของรัฐ กับหัวเมืองประเทศราชที่มีความสำคัญ ได้แก่ ล้านนา เวียงจันทน์ หลวงพระบาง จำปาสัก กัมพูชา มลายู ฯลฯ
ขณะที่เสาหลักเมืองกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างโดยใช้ไม้ชัยพฤกษ์เป็นแกนเสาหลักเมือง และใช้ไม้แก่นจันทน์มาประกับโดยรอบ ที่แฝงความหมายการเป็นหมุดหมายหลักเมือง เป็นหลักของราชธานีแห่งชัยชนะ
ทว่า การสร้างเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ในรัชกาลที่ 4 ยังมีเรื่องราวของ ภูมิสถานของศาลหลักเมือง, เทพประจำเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ, พระราชพิธีการตั้งหลักเมืองกรุงเทพฯ ฯลฯ ที่ทุกอย่างนี้มีคำอธิบายเหตุผลไว้พร้อม ซึ่งสวรรค์ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ใน “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤษภาคมนี้
วิภา จิรภาไพศาล