ตร.เผยถึงแม้หลาน’แหนมดอนเมือง’คืนทรัพย์ยักยอก แต่ยอมความไม่ได้

ตำรวจยันคดีหลานเจ้าของแหนมดอนเมือง ยักยอกบริษัทกว่า 400 ล้านบาท ยอมความไม่ได้ แม้ประสงค์คืนทรัพย์แก่ผู้เสียหาย เบื้องต้นไม่พบการโยกเงินออกนอกประเทศ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 10 พฤษภาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปราม แถลงความคืบหน้าภายหลังตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สถานที่ 7 จุดในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี นครนายก และนครราชสีมา ที่เกี่ยวข้องกับนางสาวนภษร หรือไข่มุก (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี หลานสาวเจ้าของบริษัทแปรรูปแหนมชื่อดัง ที่ยักยอกเงินบริษัทและยักย้ายถ่ายเท แปรสภาพเป็นทรัพย์สินต่างๆ ทั้งที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์หรู และของมีค่าอื่นๆ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้ายึดอายัดทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา

พล.ต.ต.มนตรีกล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดทรัพย์สินได้รวมทั้งสิ้น 780 รายการ รวมมูลค่ากว่า 250 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินสดทั้งสกุลเงินไทยและต่างประเทศ รวมมูลค่าเกือบ 4 ล้านบาท, นาฬิกาข้อมือ 35 เรือน, โฉนดที่ดิน 34 ฉบับ, โลหะคล้ายทองคำน้ำหนัก 540 บาท, วัตถุมงคลและพระเครื่อง 247 รายการ, สมุดบัญชีธนาคารและกองทุน 19 รายการ, เครื่องประดับ 104 ชิ้น, กระเป๋าแบรนด์เนม 36 ใบ, รถยนต์และรถจักรยานยนต์หรู 5 คัน เป็นต้น

ส่วนตัวผู้ต้องหา เบื้องต้นให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของผู้เสียหาย ซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านการเงินและการบัญชี ได้นำบัตรเอทีเอ็มบัญชีของบริษัท ที่มอบไว้ให้ผู้ต้องหาถือใช้จ่ายให้แก่บริษัท แอบลักลอบโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของตนเอง นอกจากนี้ยังได้นำเช็คระบุจ่ายสด ซึ่งออกโดยบริษัทฯ เพื่อชำระค่าสินค้าแก่คู่ค้าของบริษัท โอนเข้าบัญชีธนาคารตัวเองด้วย รวมทรัพย์ที่ทุจริตไประหว่างปี 2556-2566 กว่า 396 ล้านบาท โดยร่วมมือกับนายธชธร (สงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี สามี ซึ่งตัวสามีก็รับรู้เรื่องการทุจริตของภรรยา ช่วยในการแปรสภาพทรัพย์สิน

Advertisement

ส่วนทรัพย์สินและเส้นทางการเงิน เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงถึงธุรกิจผิดกฎหมาย การปล่อยกู้ หรือพนันออนไลน์ต่างๆ และไม่มีเส้นทางการเงินออกนอกประเทศแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตำรวจยืนยันว่าคดีลักทรัพย์นายจ้าง ถือเป็นอาญาแผ่นดิน ถึงแม้ว่าจะมีการคืนทรัพย์สิน และผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความก็ตาม แต่ตำรวจก็ยังคงต้องดำเนินคดีต่อไป ยอมความไม่ได้ แต่การยอมคืนทรัพย์สินอาจเป็นเหตุผลขอให้ศาลเมตตาพิจารณาลดหย่อนโทษได้

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image