นางฤชุกร สิริโยธิน รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ในประเทศที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ (Domestic Systemically Important Banks หรือ ดีซิบ) ตามมาตรฐานหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินหลังวิกฤตการเงินโลก(บาเซิล 3) โดยพิจารณาปัจจัย 4 ปัจจัย คือ ขนาดของสถาบันการเงิน ความเชื่อมโยงในการทำธุรกรรมระหว่างกัน การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของระบบสถาบันการเงิน และความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือกระบวนการดำเนินธุรกิจ ซึ่งมีธนาคารที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเกณฑ์นี้จะเริ่มใช้ในปี 2562
นางฤชุกร กล่าวว่า ธนาคารทั้ง 5 แห่ง จะต้องดำรงเงินกองทุนชั้นที่ 1 (เทียร์1) เพิ่มเติมอีก 1% เมื่อเทียบกับธนาคารทั่วไป โดยทยอยเพิ่ม 0.5% ในปี 2562 และอีก 0.5% ในปี 2563 และธนาคารทั้ง 5 แห่งต้องมีการรายงานข้อมูลกับธปท. ถี่ขึ้นเป็นรายเดือน ขณะที่ธนาคารทั่วไปรายงานเป็นรายไตรมาส โดยตั้งแต่ ปี 2559 ที่ผ่านมาประเทศอื่นได้เริ่มนำเกณฑ์นี้มาใช้แล้ว เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เนเธอแลนด์ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
“ยืนยันว่าธนาคารไทยทุกแห่งมีความแข็งแกร่งและมีเงินกองทุนขั้นต่ำสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอยู่แล้ว แต่เกณฑ์กำกับดังกล่าวเป็นการดูแลเพื่อป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ การที่ต้องเพิ่มเงินทุนสำรองไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารทั้ง 5 แห่งแต่อย่างใด” นางฤชุกร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารทั้ง 5 แห่ง มีสินทรัพย์รวม 12.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 70% จากมูลค่าสินทรัพย์ของธนาคารทั้งหมดที่ 17.8 ล้านล้านบาท โดยมีเทียร์ 1 อยู่ที่ 14.25% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส) อยู่ที่ 16.93% ด้านหุ้นธนาคารทั้ง 5 แห่ง ตลาดตอบรับข่าวดังกล่าวโดยมีความกังวลบ้างเพราะเป็นเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ช่วงเช้าราคาหุ้นแต่ละธนาคารปรับลดลงราว 0.5-1.0% ก่อนช่วงบ่ายทยอยปรับขึ้นมา ซึ่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองว่าเป็นการตอบรับข่าวระยะสั้นเท่านั้น เพราะปัจจุบันมีเงินกองทุนสูงกว่าที่กำหนด และจะเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าวในปี 2562
