หลายคนอาจตื่นเต้นกับปฏิบัติการ “ล่อเสือออกจากถ้ำ” กระทั่งเกิด อาการปรอทแตก “ตัดพี่ ตัดน้อง”
หลายคนอาจตื่นตาตื่นใจกับการนำเสนออย่างเปี่ยมด้วยคุณภาพของ ทิม พิธา
แต่ที่แหลมคมฝังลึกที่สุดน่าจะเป็นบางประโยคจาก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
“บังเอิญผมอยู่ในเหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภา คม พ.ศ.2557 วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า เมื่อตกลงกันไม่ได้รัฐบาลไม่ลาออกขอยึดอำนาจประเทศไทยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ก็ไม่ติดใจประกาศได้ แต่ชี้หน้าพวกผมบอกว่า ใครอย่าคิดสู้ผมถึงสู้ก็สู้ไม่ได้ เข้าใจเพราะมีอาวุธรถถังเต็มไปหมด แต่ประโยคสุดท้ายอยากจะถามว่าจำได้หรือไม่และหมายความว่าอย่างไร
ที่บอกว่า “ผมเตรียมการเรื่องนี้มา 3 ปีกว่าแล้ว”
เรื่องนี้แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอธิบายภายหลังว่า เป็นการเตรียมการฝึกกำลังพล ในฐานะที่เป็นผบ.ทบ.
มิได้เป็นการเตรียมในเรื่องของ“รัฐประหาร”
เรื่องเดียวกันนี้แม้จะมีการตอกย้ำและยืนยันอย่างหนักแน่น จริงจัง ไม่ว่าจะจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย ไม่ว่าจะ
จาก นายวีระ กานต์ มุสิกพงศ์ ไม่ว่าจะจาก นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ
ซึ่งล้วนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
เพียงแต่ด้วยบทสรุปและมุมมองอันต่างออกไปจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คำถามคืออะไรคือเป้าหมายของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
เด่นชัดอย่างยิ่งว่า 1 ต้องการชี้ให้เห็นว่ารัฐประหารเมื่อเดือน พฤษภาคม 2557 เป็นเพียง “โรดแมป”หนึ่งภาย
ในโรดแมปทั้งหมดที่ผ่านการตระเตรียมวางแผนมาเป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน 1 ต้องการชี้ให้เห็นว่าก่อนหน้าเดือนพฤษภาคม 2557 ก็มี “โรดแมป” อื่น
เป็นโรดแมปตั้งแต่กรณี “แช่แข็งประเทศไทย”ต่อเนื่องมายังกรณี “ชัตดาวน์ ประเทศไทย”
คำพูดของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จึงเท่ากับเป็นการหว่าน เมล็ดพันธุ์ไปยังรากฐานและต้นตอของการรัฐประหารเมื่อเดือน พฤษภาคม 2557 มิได้เป็น“อุบัติเหตุ” หากแต่เป็นความจงใจ
ทั้งเป็นการจงใจและวางแผนเป็นอย่างดีตั้งแต่หลังการเลือก ตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
คำถามอยู่ที่ว่า “เมล็ดพันธุ์” นี้จะเติบใหญ่หรือไม่