‘ประเสริฐ’ ชี้ 7ปีประยุทธ์ ผลาญงบ 20 ล้านล้าน ถ้านายกฯยังชื่อนี้ ขอไม่ให้ผ่าน

“ประเสริฐ” ซัดการจัดงบกลาโหมมากกว่า สธ. มองประโยชน์ทางการเมือง มากกว่าประโยชน์ของ ปชช. จับตาปูพรมฉีดวัคซีน 7 มิ.ย. ชี้หากวัคซีนไม่มา “บิ๊กตู่” ต้องลาออก

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าชี้แจงหลักการเหตุผล และรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิก

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

จากนั้น เวลา 11.57 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้บริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศที่เป็นรูปธรรมได้ยิ่งในสถานการณ์โควิด ซึ่งต้องใช้งบประมาณด้วยความประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ แต่กลับมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยินทุกข์ของประชาชน การใช้งบประมาณในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ระบบราชการมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในขณะที่จำนวนงบประมาณ หรือเรื่องของอำนาจของประชาชนเล็กลง เมื่อดูจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่ตั้งไว้ 2.3 ล้านล้านบาทจากงบในยอดรวม 3.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 76.15 % ของงบประมาณที่จัดตั้งไว้ นอกจากนั้นงบรายจ่ายเพื่อการลงทุน ที่ตั้งไว้สัดส่วนร้อยละ 20 หรือคิดเป็นเงินจำนวน 624,000 ล้านบาท ซึ่งงบส่วนหนึ่งเป็นงบที่อยู่ในกระทรวงกลาโหมในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือเรื่องรัฐวิสาหกิจที่มีทั้งหมด 52 แห่ง ที่หลายแห่งประสบผลขาดทุน ล้วนเป็นปัญหาที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ปัญหาของการบินไทยที่ยังต้องอาศัยวงเงินงบประมาณในการแก้ปัญหา ชี้ให้เห็นความล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี การแต่งตั้งผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจต่างๆ 50 กว่าแห่ง เกือบทั้งหมดเป็นทหารที่เป็นพวกพ้องของนายกฯ และหลายคนเป็นการตอบแทนบุญคุณเมื่อครั้นมีการทำรัฐประหารมา ไม่มีความรู้ความสามารถโดยตรง นอกจากนั้น รัฐวิสาหกิจหลายแห่ง เช่น องค์การคลังสินค้าที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เคยมีปัญหาทุจริต เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลไม่มีความสามารถในการใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของประเทศ มิติการบริหารราชการแผ่นดิน และการทุจริตที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่อยู่บนพื้นฐานความเดือดร้อนของประชาชน มีการหาผลประโยชน์จากงบประมาณขององค์กรขนาดใหญ่ มองประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประชาชน” นายประเสริฐกล่าว

Advertisement

นายประเสริฐกล่าวต่อว่า ตนมีข้อสังเกตในเรื่องการจัดทำงบประมาณ 2565 ทั้งหมด 5 ข้อ คือ 1.การจัดทำงบประมาณไม่สะท้อนกับการแก้ไขปัญหาของประเทศ ยุทธศาสตร์จัดสรรงบประมาณที่นายกฯ ได้กล่าวไปทั้ง 6 ด้าน ไม่มีการกล่าวถึงยุทธศาสตร์ด้านโควิด ซึ่งในขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจ แต่รัฐบาลทำเหมือนว่า ประเทศไม่ได้อยู่ในวิกฤต ทำไมไม่มีการจัดงบประมาณในยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูประเทศจากโควิด เมื่อการจัดสรรงบประมาณไม่สะท้อนปัญหาของประเทศส่งผลให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไปไม่ถึงไหน แต่กลับไม่สามารถใช้กลไกของงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้ การอัดฉีดเม็ดเงินลงแต่ละครั้งไม่ว่าจะเงิน SMEs ล้วนแต่เป็นเงินที่ไม่ถึงคนโดยส่วนรวม และหลายครั้งมีเงื่อนไขมากมาย จน SMEs หลายแห่งต้องล้มหายตาย เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงเงินทุน อีกทั้งปัญหาว่างงานในระบบประกันสังคมที่สูงขึ้น

นายประเสริฐกล่าวต่อว่า 2.การไร้ประสิทธิภาพในการใช้เงินงบประมาณ ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ใช้วงเงินงบประมาณในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งสิ้น 20.8 ล้านล้านบาท และกำลังจะใช้ในปี 65 อีก 3.1 ล้านล้านบาท แต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้ โดยมีอัตราการเจริญเติบโตแค่ 1% เหมือนครั้งที่ให้ใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเศรษฐกิจติดลบถึง 2.6 % ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง 9.2% 3.มีการตัดงบประมาณที่สำคัญหลายจุด แต่งบกระทรวงกลาโหมกลับเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่างบกระทรวงสาธารณสุขลดลงมากถึง 4.3 พันล้านบาท คิดเป็นติดลบ 2.74% หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคล้วนแต่ถูกตัดงบประมาณ เช่น กรมควบคุมโรคติดต่อถูกตัดงบประมาณ 480 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วลดลง 12% กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ถูกตัดงบมากถึง 10% เหลืองบน้อยที่สุดในรอบ 6 ปี สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้งบประมาณเพียง 22 ล้านบาททั้งที่ประเทศมีปัญหาเรื่องวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงหลักในการดูแลสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด แต่การจัดงบประมาณในปี 65 รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญกับกระทรวงนี้เท่าที่ควร ทั้งยังมีการจัดตั้ง ศบค.ขึ้นมา ประกอบด้วยฝ่ายความมั่นคงที่เป็นทหารมาควบคุม ซึ่งไม่มีความรู้ด้านระบาดวิทยา

“การดำเนินการของ ศบค.เป็นที่ประจักษ์อย่างยิ่งถึงความล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องการกระจายวัคซีน กระทรวงกลาโหมได้งบประมาณในปีงบประมาณ 64 คิดเป็นร้อยละ 6.5 และในปี 65 ได้งบประมาณคิดเป็นร้อยละ 6.6 ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหาโควิด กองทัพได้นำเงินไปจัดซื้อยุทโธปกรณ์ 3 เหล่าทัพ เป็นเงินจำนวนมากกว่า 8,274 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงบผูกพันข้ามปีที่เกิดระหว่างปี 65-68 จำนวน 88,969 ล้าน เป็นของกองทัพเรือ 37,849 ล้านบาท ในการจัดซื้อเรือดำน้ำแบบจีทูจีกับรัฐบาลจีน” นายประเสริฐกล่าว

Advertisement

นายประเสริฐกล่าวต่อว่า 4.การกระจายงบประมาณไม่เป็นธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง เห็นได้ชัดจากการกระจายวัคซีนแบบไร้ยุทธศาสตร์ การประกาศว่าการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติเป็นวาทกรรมที่สวยหรู พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยบอกรายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไร การกระจายวัคซีนในจังหวัดพื้นที่สีแดงน้อยกว่าจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีขาวและพื้นที่สีเขียว แม้กระทั่ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลยังออกมาตำหนิการทำงานของรัฐบาลว่าการกระจายวัคซีนไม่เป็นธรรม มีการเล่นพรรคเล่นพวกกลายเป็นศึกชิงวัคซีนที่จัดสรรไม่หลากหลาย ไม่รวดเร็ว ไม่ทั่วถึงและไม่ทันการณ์ ตนจะคอยดูว่าวันที่ 7 มิถุนายน การฉีดวัคซีนแอสตราเซเนก้าแบบปูพรมจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ วันนี้ยังไม่มีใครกล้าบอกว่า จะได้วัคซีนวันไหน และหากวัคซีนไม่มา พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ ผอ.ศบค.ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก

นายประเสริฐกล่าวว่า และ 5.การจัดสรรงบประมาณที่ไม่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น จากผลกระทบของโควิดส่งผลให้ท้องถิ่นแต่ละแห่งมีรายได้ลดลง ซึ่งเกิดจากกรมการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นขยายเวลาการจัดเก็บภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และลดอัตราการจัดเก็บลดถึง 90% ส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนท้องถิ่น แต่รัฐบาลกลับตัดลดงบประมาณท้องถิ่นลง 73,261 ล้านบาท ลดเงินอุดหนุนให้องค์กรท้องถิ่นลงอีก 15,988 ล้านบาท หากวันนี้รัฐบาลกล้าให้อำนาจท้องถิ่นในการดูแลสุขภาพของประชาชน วันนี้คนไทยหลายคนจะได้ฉีดวัคซีนโดยใช้การบริหารงานของท้องถิ่น สิ่งที่เกิดวันนี้คือวิกฤตศรัทธาในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการทำงานว่าหากปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ บริหารเงินปี 2565 จะสามารถพาประเทศพ้นวิกฤตไปได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มาแล้ว 7 ปีเพิ่งประกาศเรื่องการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติแสดงว่าที่ผ่านมาไม่เคยให้ความสนใจเรื่องนี้เลย ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 104 จาก 180 ในประเทศทั่วโลก การประกาศเรื่องนี้ จึงเป็นวาทกรรมที่สวยหรูอีกเรื่อง ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงไม่สามารถรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 65 ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image