“ประเสริฐ” ซัดการจัดงบกลาโหมมากกว่า สธ. มองประโยชน์ทางการเมือง มากกว่าประโยชน์ของ ปชช. จับตาปูพรมฉีดวัคซีน 7 มิ.ย. ชี้หากวัคซีนไม่มา “บิ๊กตู่” ต้องลาออก
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าชี้แจงหลักการเหตุผล และรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิก
ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- นายกฯ ร่ายยาวชั่วโมงครึ่ง ของบ’65 ตั้งเป้าจีดีพีโตร้อยละ 5 รับภูมิคุ้มกันหมู่จากวัคซีน
- “สมพงษ์” ขวางงบ’65 อัดรบ.อ่อนด้อย ไร้วิสัยทัศน์ จัดงบกองทัพ มากกว่าสาธารณสุข
- “บิ๊กตู่” ลุกโต้ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่จริง จัดงบกองทัพ มากกว่าสธ. ลั่น “รบ.ผมไม่มีทุจริต”
จากนั้น เวลา 11.57 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้บริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศที่เป็นรูปธรรมได้ยิ่งในสถานการณ์โควิด ซึ่งต้องใช้งบประมาณด้วยความประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ แต่กลับมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยินทุกข์ของประชาชน การใช้งบประมาณในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ระบบราชการมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในขณะที่จำนวนงบประมาณ หรือเรื่องของอำนาจของประชาชนเล็กลง เมื่อดูจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่ตั้งไว้ 2.3 ล้านล้านบาทจากงบในยอดรวม 3.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 76.15 % ของงบประมาณที่จัดตั้งไว้ นอกจากนั้นงบรายจ่ายเพื่อการลงทุน ที่ตั้งไว้สัดส่วนร้อยละ 20 หรือคิดเป็นเงินจำนวน 624,000 ล้านบาท ซึ่งงบส่วนหนึ่งเป็นงบที่อยู่ในกระทรวงกลาโหมในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือเรื่องรัฐวิสาหกิจที่มีทั้งหมด 52 แห่ง ที่หลายแห่งประสบผลขาดทุน ล้วนเป็นปัญหาที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ปัญหาของการบินไทยที่ยังต้องอาศัยวงเงินงบประมาณในการแก้ปัญหา ชี้ให้เห็นความล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี การแต่งตั้งผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจต่างๆ 50 กว่าแห่ง เกือบทั้งหมดเป็นทหารที่เป็นพวกพ้องของนายกฯ และหลายคนเป็นการตอบแทนบุญคุณเมื่อครั้นมีการทำรัฐประหารมา ไม่มีความรู้ความสามารถโดยตรง นอกจากนั้น รัฐวิสาหกิจหลายแห่ง เช่น องค์การคลังสินค้าที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เคยมีปัญหาทุจริต เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลไม่มีความสามารถในการใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของประเทศ มิติการบริหารราชการแผ่นดิน และการทุจริตที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่อยู่บนพื้นฐานความเดือดร้อนของประชาชน มีการหาผลประโยชน์จากงบประมาณขององค์กรขนาดใหญ่ มองประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประชาชน” นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐกล่าวต่อว่า ตนมีข้อสังเกตในเรื่องการจัดทำงบประมาณ 2565 ทั้งหมด 5 ข้อ คือ 1.การจัดทำงบประมาณไม่สะท้อนกับการแก้ไขปัญหาของประเทศ ยุทธศาสตร์จัดสรรงบประมาณที่นายกฯ ได้กล่าวไปทั้ง 6 ด้าน ไม่มีการกล่าวถึงยุทธศาสตร์ด้านโควิด ซึ่งในขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจ แต่รัฐบาลทำเหมือนว่า ประเทศไม่ได้อยู่ในวิกฤต ทำไมไม่มีการจัดงบประมาณในยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูประเทศจากโควิด เมื่อการจัดสรรงบประมาณไม่สะท้อนปัญหาของประเทศส่งผลให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไปไม่ถึงไหน แต่กลับไม่สามารถใช้กลไกของงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้ การอัดฉีดเม็ดเงินลงแต่ละครั้งไม่ว่าจะเงิน SMEs ล้วนแต่เป็นเงินที่ไม่ถึงคนโดยส่วนรวม และหลายครั้งมีเงื่อนไขมากมาย จน SMEs หลายแห่งต้องล้มหายตาย เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงเงินทุน อีกทั้งปัญหาว่างงานในระบบประกันสังคมที่สูงขึ้น
นายประเสริฐกล่าวต่อว่า 2.การไร้ประสิทธิภาพในการใช้เงินงบประมาณ ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ใช้วงเงินงบประมาณในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งสิ้น 20.8 ล้านล้านบาท และกำลังจะใช้ในปี 65 อีก 3.1 ล้านล้านบาท แต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้ โดยมีอัตราการเจริญเติบโตแค่ 1% เหมือนครั้งที่ให้ใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเศรษฐกิจติดลบถึง 2.6 % ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง 9.2% 3.มีการตัดงบประมาณที่สำคัญหลายจุด แต่งบกระทรวงกลาโหมกลับเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่างบกระทรวงสาธารณสุขลดลงมากถึง 4.3 พันล้านบาท คิดเป็นติดลบ 2.74% หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคล้วนแต่ถูกตัดงบประมาณ เช่น กรมควบคุมโรคติดต่อถูกตัดงบประมาณ 480 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วลดลง 12% กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ถูกตัดงบมากถึง 10% เหลืองบน้อยที่สุดในรอบ 6 ปี สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้งบประมาณเพียง 22 ล้านบาททั้งที่ประเทศมีปัญหาเรื่องวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงหลักในการดูแลสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด แต่การจัดงบประมาณในปี 65 รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญกับกระทรวงนี้เท่าที่ควร ทั้งยังมีการจัดตั้ง ศบค.ขึ้นมา ประกอบด้วยฝ่ายความมั่นคงที่เป็นทหารมาควบคุม ซึ่งไม่มีความรู้ด้านระบาดวิทยา
“การดำเนินการของ ศบค.เป็นที่ประจักษ์อย่างยิ่งถึงความล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องการกระจายวัคซีน กระทรวงกลาโหมได้งบประมาณในปีงบประมาณ 64 คิดเป็นร้อยละ 6.5 และในปี 65 ได้งบประมาณคิดเป็นร้อยละ 6.6 ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหาโควิด กองทัพได้นำเงินไปจัดซื้อยุทโธปกรณ์ 3 เหล่าทัพ เป็นเงินจำนวนมากกว่า 8,274 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงบผูกพันข้ามปีที่เกิดระหว่างปี 65-68 จำนวน 88,969 ล้าน เป็นของกองทัพเรือ 37,849 ล้านบาท ในการจัดซื้อเรือดำน้ำแบบจีทูจีกับรัฐบาลจีน” นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐกล่าวต่อว่า 4.การกระจายงบประมาณไม่เป็นธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง เห็นได้ชัดจากการกระจายวัคซีนแบบไร้ยุทธศาสตร์ การประกาศว่าการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติเป็นวาทกรรมที่สวยหรู พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยบอกรายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไร การกระจายวัคซีนในจังหวัดพื้นที่สีแดงน้อยกว่าจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีขาวและพื้นที่สีเขียว แม้กระทั่ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลยังออกมาตำหนิการทำงานของรัฐบาลว่าการกระจายวัคซีนไม่เป็นธรรม มีการเล่นพรรคเล่นพวกกลายเป็นศึกชิงวัคซีนที่จัดสรรไม่หลากหลาย ไม่รวดเร็ว ไม่ทั่วถึงและไม่ทันการณ์ ตนจะคอยดูว่าวันที่ 7 มิถุนายน การฉีดวัคซีนแอสตราเซเนก้าแบบปูพรมจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ วันนี้ยังไม่มีใครกล้าบอกว่า จะได้วัคซีนวันไหน และหากวัคซีนไม่มา พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ ผอ.ศบค.ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก
นายประเสริฐกล่าวว่า และ 5.การจัดสรรงบประมาณที่ไม่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น จากผลกระทบของโควิดส่งผลให้ท้องถิ่นแต่ละแห่งมีรายได้ลดลง ซึ่งเกิดจากกรมการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นขยายเวลาการจัดเก็บภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และลดอัตราการจัดเก็บลดถึง 90% ส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนท้องถิ่น แต่รัฐบาลกลับตัดลดงบประมาณท้องถิ่นลง 73,261 ล้านบาท ลดเงินอุดหนุนให้องค์กรท้องถิ่นลงอีก 15,988 ล้านบาท หากวันนี้รัฐบาลกล้าให้อำนาจท้องถิ่นในการดูแลสุขภาพของประชาชน วันนี้คนไทยหลายคนจะได้ฉีดวัคซีนโดยใช้การบริหารงานของท้องถิ่น สิ่งที่เกิดวันนี้คือวิกฤตศรัทธาในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการทำงานว่าหากปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ บริหารเงินปี 2565 จะสามารถพาประเทศพ้นวิกฤตไปได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มาแล้ว 7 ปีเพิ่งประกาศเรื่องการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติแสดงว่าที่ผ่านมาไม่เคยให้ความสนใจเรื่องนี้เลย ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 104 จาก 180 ในประเทศทั่วโลก การประกาศเรื่องนี้ จึงเป็นวาทกรรมที่สวยหรูอีกเรื่อง ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงไม่สามารถรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 65 ได้