จาตุรนต์ แนะแก้ กม. ก่อนทำประชามติ ด้านไอติม แจงชัดแก้หมวด 1-2 ห้ามขัด ม.255 ที่สุด สภา มีมติคว่ำร่าง ‘ก้าวไกล’ 262 ต่อ 162
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และแจ้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นผู้เสนอ โดยมี ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านสลับกันลุกขึ้นอภิปรายอย่างกว้างขวาง
ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘พริษฐ์’ ไม่ติดประชามติ 2 ครั้ง ชี้ ส.ส.เคยเห็นชอบ ไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนจุดยืน
- วิปรัฐบาล จ่อลงมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ ร่างประชามติก้าวไกล เหตุทับซ้อนงานรัฐบาล
- ‘ก้าวไกล’ อภิปรายย้ำกระบวนการร่าง รธน.ฉบับใหม่ต้องยึดโยงประชาชน
- มติสภาฯ 262 : 162 คว่ำญัตติก้าวไกล ขอทำประชามติ แก้ไขรธน.
จากนั้น เวลา 14.50 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. อภิปรายว่า ในการประชุม ส.ส.พรรค พท. เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติให้ส่งเสริมให้พิจารณาญัตติดังกล่าวในสภา เพราะมีความสำคัญและสภาไม่จำเป็นต้องขัดขวาง หรือทำให้ญัตติดังกล่าวไม่ได้รับการพิจารณา เพราะการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องการความร่วมมือของทุกฝ่าย หากไม่มีฝ่ายค้านสนับสนุนอาจไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ การทำประชามติตามที่เสนอญัตติดังกล่าวเป็นความเข้าใจร่วมกัน เพราะเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หากยกร่างใหม่ต้องทำประชามติ ปัญหาต้องพิจารณาคือ การตีความไม่ตรงกัน เรื่องทำประชามติ ในขั้นตอนใด หรือกี่ขั้นตอน หรือกี่ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นที่เสนอให้ทำประชามตินั้น มีคำถามที่เกิดขึ้นคือ จะมีต่อการแก้รัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ เพราะการแก้รัฐธรรมนูญต้องมีเจ้าของเรื่องคือรัฐสภา หากรัฐสภาไม่มีมติ การแสดงความต้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การทำประชามติจะมีผลได้อย่างไร ซึ่งกระบวนการทำประชามติตามกฎหมาย คือทำประชามติที่ใช้กติกาแตกต่างจากรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ที่ใช้เสียงข้างมากเท่านั้น แต่ปัจจุบันมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติให้ถือเกณฑ์ผ่านคือ การออกเสียงต้องมีผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงและมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ คือ ต้องมีคนมาลงคะแนนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ
“การทำประชามติด้วยกติกาดังกล่าว ทำให้รัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติได้ยาก ทำให้ผู้ที่มีสิทธิไม่ออกมาใช้สิทธิเพื่อไม่ให้จำนวนผู้มาใช้สิทธิถึงจำนวนกึ่งหนึ่ง เท่ากับการทำประชามติจะไม่ผ่าน ดังนั้น ผมเห็นว่าหากไม่แก้กฎหมายประชามติก่อนเป็นความเสี่ยงอย่างสูงให้ประชามติไม่ผ่าน เนื่องจากกติกาพิสดารไปกว่ารัฐธรรมนูญ 50 และรัฐธรรมนูญ 60 และมีปัญหาในกระบวนการและความสำเร็จในการจัดทำรัฐธรรมนูญ และกลายเป็นข้ออ้างของคนที่ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ เท่ากับปิดโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายจาตุรนต์กล่าว
จากนั้น เวลา 15.00 น. นายพริษฐ์ อภิปรายสรุปว่า ขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่อภิปรายแสดงความคิดเห็น หลังจากที่ได้ฟังคำอภิปรายมา ตนอยู่ในสภาวะที่สบายใจครึ่งหนึ่ง เพราะได้รับคำยืนยันจากตัวแทนพรรคการเมือง ที่จะเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
แต่ทั้งนี้ ตนมี 2 ประเด็นที่ต้องชี้แจงคือ ในส่วนของคำถามในการทำประชามตินั้น เพราะในข้อบังคับกำหนดไว้ว่า หากจำเสนอเป็นญัตติจำเป็นต้องกำหนดคำถาม ตนทำไปตามข้อบังคับไม่สามารถเสนอญัตติตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติมาตรา 9 (4) ได้หากไม่เสนอคำถาม และการตีความว่า หากมีการเสนอญัตติให้เดินหน้าทำประชามติผ่านกลไกของ พ.ร.บ.ประชามติมาตรา 9 (4) แล้วหาก ส.ส.และ ส.ว. ให้ความเห็นชอบแล้วส่งไปที่ ครม.จะมีดุลพินิจในการตัดสินใจหรือไม่ว่าจะอนุมัติหรือไม่
หากเปรียบเทียบกับ พ.ร.บ.ประชามติ พ.ศ.2564 มาตรา 9 (4) อย่างละเอียดจะเห็นว่า ไม่ได้เปิดให้ ครม.มีดุลพินิจในการตัดสินใจว่าจะอนุมัติฉันทามติที่ได้รับจากสองสภาหรือไม่ แต่หากเปรียบเทียบกับมาตรา 9 (5) จะเห็นความแตกต่างที่มีนัยยะสำคัญจะเป็นการแจ้งให้ ครม.ดำเนินการไม่มีส่วนไหนขอให้ ครม.อนุมัติ
นายพริษฐ์กล่าวต่อว่า สำหรับข้อกังวลในการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 นั้น ขอชี้แจงว่า สาระสำคัญของญัตตินี้ ไม่ได้เป็นข้อเสนอของพรรค ก.ก.ว่าจะต้องแก้ไขข้อความใดๆ ในหมวด 1 และหมวด 2 แต่เป็นเพียงการบอกว่า หากจะมีการแก้ไขมาตราใดๆ ควรจะให้ ส.ส.ร.ไปถกกันว่าจะแก้ไขเรื่องอะไร แม้เราให้อำนาจให้ ส.ส.ร.แล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่สบายใจก็ตาม เพราะหากไปพิจารณาแล้วอาจจะมีการแก้ไขข้อความบางส่วนในหมวด 1 และหมวด 2 หากเป็นเช่นนั้น
ต้องเรียนว่า การแก้ไขดังกล่าวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะแม้จะมีการแก้ดังกล่าวแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐตามมาตรา 255 ท่านไม่ต้องกังวล รวมถึงข้อความในหมวด 1 และหมวด 2 มีการแก้ไขมาโดยตลอด นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดไว้ว่า หากผ่าน 3 วาระแล้วต้องมีการทำประชามติ
นายพริษฐ์กล่าวอีกว่า พรรค ก.ก.ไม่กังวลว่าคณะกรรมการศึกษาประชามติของรัฐบาลจะใช้เวลาเท่าไร แต่กังวลว่าจะมีความเห็นต่างหรือเหมือนกับคำถามประชามติที่พรรค ก.ก.เสนออย่างไร ทั้งนี้ กรณีที่พบว่ามีการปรับเปลี่ยนกรรมการ เพราะไม่ให้ ส.ส.เข้าไปเป็นกรรมการศึกษา ดังนั้น หากจะให้ ส.ส.พรรค ก.ก.แสดงความเห็นต่อรัฐบาล จำเป็นต้องใช้เวทีสภา และถือเป็นการใช้เวทีทางแจ้งที่จะดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ ส.ส.อภิปรายครบถ้วน และรวมเวลาพิจารณากว่า 4 ชั่วโมง สภาได้ลงมติผลปรากฏว่า เสียงข้างมาก 262 เสียงไม่เห็นชอบ ต่อ 162 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง ถือว่าญัตติดังกล่าวไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา