ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล : ฎีการะบบอนุญาตในคดีแพ่ง ความยุติธรรมภายใต้หลักสากล

การฎีการะบบอนุญาตที่การยื่นฎีกาของคู่ความในคดีจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาเสียก่อน ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ เช่น ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อิตาลี เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยองค์คณะของผู้พิพากษาศาลฎีกาของแต่ละประเทศเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อกลั่นกรองคดีที่สมควรจะขึ้นสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้มีปริมาณคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาเกินสมควรและเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความในคดีได้อย่างเหมาะสมเป็นธรรม และศาลฎีกาของประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านี้รวมทั้งในประเทศต่างๆ จำนวนมากจะวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง การยื่นฎีกาจึงกระทำได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยนั้น แต่เดิมมาภายใต้การฎีการะบบสิทธิคู่ความในคดีมีสิทธิฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งทำให้มีคดีขึ้นสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาเป็นจำนวนมาก และถึงแม้จะมีการ

กลั่นกรองคดีที่จะขึ้นสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา โดยกฎหมายได้กำหนดข้อห้ามในการฎีกา และระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการไม่รับคดีซึ่งข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่อุทธรณ์หรือฎีกาจะไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณาไว้พิจารณาพิพากษา พ.ศ.2551 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการไม่รับคดีที่ไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณาของศาลฎีกาไว้ก็ตาม

แต่ก็ยังคงมีคดีที่ไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัยของศาลฎีกาขึ้นสู่ศาลฎีกาเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความล่าช้าในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2558 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2558 กำหนดให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาว่าคดีที่ได้ยื่นฎีกาเรื่องใดสมควรอนุญาตให้ขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกา เพื่อลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงระบบการฎีกาจากระบบสิทธิมาเป็นระบบอนุญาตในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งของประเทศไทย

Advertisement

และหากศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ฎีกาแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุด โดยยังคงหลักการเดิมให้ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริง คู่ความในคดีจึงสามารถฎีกาได้ทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริง เพียงแต่ต้องได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาก่อน

ภายใต้หลักเกณฑ์ของการฎีการะบบอนุญาตในคดีแพ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว มาตรา 247 กำหนดให้การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา โดยการขออนุญาตฎีกาให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น มาตรา 248 กำหนดให้องค์คณะผู้พิพากษาที่ประธานศาลฎีกาแต่งตั้ง ซึ่งประกอบด้วยรองประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกอย่างน้อยสามคนเป็นผู้พิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกา และมาตรา 249 กำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้เมื่อเห็นว่าปัญหาที่ฎีกาเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย โดยปัญหาสำคัญนี้ได้แก่

(1) ปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน

Advertisement

(2) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา

(3) คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกามาก่อน

(4) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ขัดกับคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดของศาลอื่น

(5) เพื่อเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมาย

(6) ปัญหาสำคัญอื่นตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา

การเปลี่ยนแปลงระบบการฎีกามาเป็นระบบอนุญาตในคดีแพ่งส่งผลให้มีการยกเลิกหลักเกณฑ์เรื่องราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับการยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย เนื่องจากมีระบบการกลั่นกรองคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยการพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกาขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแล้ว

สำหรับการฎีกาในคดีอาญายังคงเป็นไปตามระบบสิทธิตามหลักเกณฑ์เดิมที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยไม่ต้องมีการยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกามาพร้อมคำฟ้องฎีกา เหมือนในคดีแพ่งแต่อย่างใด

อนึ่ง ได้มีการประกาศบังคับใช้ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกา ในคดีแพ่ง พ.ศ.2558 แล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์ในการยื่นและการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขออนุญาตฎีกา และกำหนดปัญหาสำคัญอื่นที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง (6) ว่าได้แก่ปัญหาใดบ้าง

นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่ มาตรา 251 ยังได้นำหลักการของระบบศาลสองชั้นมาใช้สำหรับคดีที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาที่มีแต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกามีอำนาจทำคำวินิจฉัยในปัญหา ข้อกฎหมายนั้นและยกคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้น แล้วมีคำสั่งให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้นแล้วแต่กรณี ทำคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้ โดยหลักการของระบบศาลสองชั้นเป็นหลักการที่ใช้ในระบบศาลของหลายประเทศ เช่น ประเทศฝรั่งเศส อิตาลี และเบลเยียม ซึ่งศาลฎีกาจะวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงและจะไม่มีคำพิพากษาชี้ขาดคดีด้วยตนเอง

ศาลฎีกาในระบบศาลสองชั้นมีอำนาจเพียงยกอุทธรณ์หรือยกคำพิพากษาของศาลล่าง และเนื่องจากศาลฎีกาในระบบศาลสองชั้นไม่มีอำนาจทำคำพิพากษาคดีใหม่ จึงไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลล่าง ในกรณีที่มีการยกคำพิพากษาของศาลล่าง ศาลฎีกาจะส่งสำนวนคดีกลับมาให้ศาลล่างพิพากษาคดีใหม่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วศาลล่างต้องพิพากษาคดีตามแนวทางที่ศาลฎีกากำหนดไว้

การเปลี่ยนแปลงระบบฎีกาในคดีแพ่งจากระบบสิทธิมาเป็นระบบอนุญาตตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2558 ดังกล่าวนับเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย โดยส่งผลให้ต้องมีการตราและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวม 8 ฉบับ ด้วยกัน โดยกฎหมายทั้ง 8 ฉบับมีผลใช้บังคับพร้อมกันตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2558 ดังนี้

การแก้ไขการฎีกาในคดีแพ่งเป็นระบบอนุญาตส่งผลให้ต้องมีการแก้ไขการฎีกาในศาลชำนัญพิเศษ ได้แก่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลคดีภาษีอากร ศาลคดีแรงงาน และศาลคดีล้มละลาย ซึ่งแต่เดิมกำหนดให้การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชำนัญพิเศษดังกล่าว ให้อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาโดยไม่ต้องผ่านศาลอุทธรณ์ อันเป็นการนำอุทธรณ์แบบกบกระโดด (leap frog) ของประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย Common Law มาใช้ โดยได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดีของศาลชำนัญพิเศษทั้ง 4 ศาลดังกล่าวในเรื่องการอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2558 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 โดยกำหนดให้การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชำนัญพิเศษทั้ง 4 ศาลต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ.2558 โดยให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วแต่กรณีมาใช้บังคับโดยอนุโลม อันเป็นการยกเลิกการอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาในศาลชำนัญพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกาของศาลชำนัญพิเศษทั้ง 4 ศาล ให้สอดคล้องเป็นระบบเดียวกันกับหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และหากยังคงหลักเกณฑ์การอุทธรณ์โดยตรงไปยังศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกาในเรื่องคดีแพ่ง ก็จะทำให้คู่ความในคดีไม่มีโอกาสได้รับการตรวจสอบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจากศาลลำดับชั้นที่สูงกว่าเลย การแก้ไขหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกาในศาลชำนัญพิเศษดังกล่าวจึงเป็นการคุ้มครองสิทธิของคู่ความในการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาล โดยให้คู่ความมีสิทธิได้รับการตรวจสอบคำพิพากษาของศาลล่างจากศาลลำดับชั้นที่สูงกว่าอย่างน้อยชั้นหนึ่งด้วย และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดีของศาลชำนัญพิเศษทั้ง 4 ศาลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และบทบัญญัติเรื่องอื่นๆ เพื่อความสมบูรณ์ของกฎหมายด้วย

นอกจากนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษขึ้นเป็นศาลชั้นอุทธรณ์ โดยให้มี 5 แผนก ประกอบด้วย แผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ แผนกคดีภาษีอากร แผนกคดีแรงงาน แผนกคดีล้มละลาย และแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีชำนัญพิเศษในชั้นอุทธรณ์กระทำโดยผู้พิพากษาที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญพิเศษในแต่ละด้าน ซึ่งจะทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม คดีที่ศาลชำนัญพิเศษ คือ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลคดีภาษีอากร ศาลคดีแรงงาน และศาลคดีล้มละลาย มีคำพิพากษาหรือคำสั่งก่อนวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดีของศาลชำนัญพิเศษทั้ง 4 ศาล ที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวกำหนดให้ยังคงนำกฎหมายเดิมมาใช้บังคับ คือ ให้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา และให้นำบทบัญญัติของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดีของศาลชำนัญพิเศษฉบับเดิมของแต่ละศาล คือ ฉบับซึ่งใช้บังคับอยู่ก่อนฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมในปัจจุบัน มาใช้บังคับกับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกา นอกจากนี้ คดีชำนัญพิเศษที่มีการอุทธรณ์และยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลฎีกาก่อนวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษนั้น ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดีของศาลชำนัญพิเศษฉบับเดิมของแต่ละศาลมาใช้บังคับในการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ส่วนศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะเปิดทำการเมื่อใดนั้น เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

ในส่วนของพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 มีการแก้ไขเพิ่มเติมการฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคหรือศาลอุทธรณ์ภาคแผนกคดีผู้บริโภค โดยยกเลิกบทบัญญัติเดิมและให้นำเอาบทบัญญัติเรื่องการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับใช้โดยอนุโลม เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเรื่องการฎีการะบบอนุญาต และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 ได้มีการกำหนดคำนิยามของศาลชั้นอุทธรณ์ให้สอดคล้องกับการจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษและมีการแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องอื่นๆ เพื่อความสมบูรณ์ของกฎหมายและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคดีของศาลยุติธรรม

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงการฎีกาในคดีแพ่งเป็นระบบอนุญาตจึงเป็นย่างก้าวประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญยิ่งในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการฎีกาของประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้ว ซึ่งส่งผลให้ต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรื่องการอุทธรณ์และฎีกาของศาลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการจัดองค์กรของศาลครั้งใหญ่ด้วย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งประโยชน์ที่จะได้ย่อมตกอยู่แก่ประเทศชาติและประชาชนโดยตรง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image