ชำแหละเลือก‘ส.ว.ชุดใหม่’ สืบทอดอำนาจ-ลดทอนมีส่วนร่วม?

หมายเหตุ – ผศ.ปฐวี โชติอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี สะท้อนมุมมองการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดใหม่ 200 คนที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม

ป ระชาชนมีสิทธิเลือก สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ของตนเองครั้งแรก ในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2543 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นการจัดการเลือกตั้ง ส.ว.เป็นการทั่วไปครั้งแรกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะก่อนหน้านั้น ส.ว.มีที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่การรัฐประหาร พ.ศ.2549 ระบบการเลือก ส.ว.เปลี่ยนไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ประชาชนมีสิทธิเลือก ส.ว.ได้จังหวัดละ 1 คนเท่านั้น รวม 76 คน ส่วน อีก 74 คนมาจากการแต่งตั้ง มากกว่านั้น ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2557 และการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้กำหนดวิธีการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่แตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมากล่าวคือ การได้มาซึ่ง ส.ว. 250 คน
ในช่วงแรกมาจากการแต่งตั้งของ คสช.ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 มีวาระดำเนินการ 5 ปี และมีสิทธิในการเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส.

หลังจากนั้นรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดให้การเลือกตั้งในครั้งถัดไปนั่นคือ การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ มี ส.ว.ได้ทั้งหมด 200 คน จาก 20 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ 1.กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง 2.กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็น
ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ หรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย 3.กลุ่มการศึกษา เช่น ผู้เป็นหรือเคยเป็นครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรทางการศึกษา 4.กลุ่มการสาธารณสุข เช่น แพทย์ทุกประเภท พยาบาล เภสัชกร 5.กลุ่มอาชีพทำนา ปลูกพืชล้มลุก

Advertisement

6.กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง 7.กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างของบุคคล ซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ 8.กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน 9.กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฎหมาย (SME) และผู้ประกอบกิจการอื่นๆ 10.กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจากข้อ 11.กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบกิจการหรือพนักงานโรงแรม

12.กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 13.กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตรกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 14.กลุ่มสตรี 15.กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น 16.กลุ่มศิลปวัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง 17.กลุ่มประชาสังคม องค์กรสาธารณประโยชน์ 18.กลุ่มนักกีฬา สื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม 19.กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ 20.กลุ่มอื่นๆ

นอกจากนี้ มีการจัดการเลือกตั้งใน 3 ระดับ กล่าวคือ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ

Advertisement

ในระดับอำเภอ มีการจัดให้เลือกกันเองภายในกลุ่ม โดยเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันไม่เกิน 2 คน ผู้ที่ลงคะแนนสามารถลงคะแนนได้ไม่เกิน 1 คะแนน ผู้ที่ลงคะแนนสามารถที่จะลงคะแนนให้ตัวเอง หลังจากนั้นผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก จะถือว่าเป็นผู้ได้รับเลือกขึ้นต้นของแต่ละกลุ่ม ผู้ที่ได้รับเลือกขั้นต้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 สาย หลังจากนั้นผู้ได้คัดเลือกของแต่ละกลุ่มมีสิทธิเลือกผู้ได้รับคัดเลือกของกลุ่มอื่นในสายเดียวกัน 1 คน แต่ห้ามเลือกคนในกลุ่มเดียวกันและห้ามเลือกตนเอง สุดท้าย
ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มจะถือว่าเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในระดับอำเภอ และเข้าสู่การเลือกในระดับจังหวัดต่อไป

สำหรับ การเลือกในระดับจังหวัด คล้ายกับการคัดเลือกในระดับอำเภอ ผู้ได้รับการคัดเลือก 5 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มในขั้นต้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 สาย หลังจากนั้น ผู้ได้รับคัดเลือกของแต่ละกลุ่มจะมีสิทธิเลือกผู้สมัครขั้นต้นของกลุ่มอื่นในสายเดียวกัน แต่ห้ามเลือกคนในกลุ่มเดียวกันและห้ามเลือกตนเอง สุดท้าย ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มจะถือว่าเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในระดับจังหวัดและเข้าสู่การเลือกในระดับประเทศต่อไป

สุดท้าย การเลือกตั้งในระดับประเทศ ผู้ที่ได้รับเลือกในระดับจังหวัดแต่ละกลุ่มต้องมาลงคะแนนเลือกกันเองอีกรอบภายในกลุ่ม ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิเลือกจะเลือกคนในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 10 คน โดยสามารถเลือกตนเองได้ แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ได้เกิน 1 คะแนน หลังจากนั้นผู้ได้คะแนนสูงสุดของแต่ละกลุ่ม 40 อันดับแรก ถือว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งในขั้นแรก นอกจากนี้ หากแต่ละกลุ่มได้ไม่ครบ 40 คน ก็ให้ถือตามจำนวนเท่าที่ได้รับการเลือกแต่ต้องไม่น้อยกว่า 20 คน ทั้งนี้ ผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับประเทศจะจัดมีการเลือกกันเองให้ได้อย่างน้อย 20 คน หลังจากนั้น แต่ละกลุ่มที่ได้รับการเลือกตั้งแบ่งออกเป็น 4 สาย ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกของแต่ละกลุ่มมีสิทธิเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นในสายเดียว 5 คนแต่ห้ามเลือกคนที่อยู่ในกลุ่มตนเองหรือเลือกตนเอง

สุดท้าย ผู้ได้รับคัดเลือกคะแนนสูงสุด 10 อันดับแรกของแต่ละกลุ่ม จะได้เป็น ส.ว.ของกลุ่มนั้น
20 กลุ่ม คูณ 10 จะได้เท่ากับ 200 คน พอดี

ถ้ าเราพิจารณาจากวิธีการเลือกตั้ง ส.ว.ที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี พ.ศ.2567 นี้ สิ่งพบคือ การเลือกตั้งครั้งนี้กีดกันคนจำนวนมากไม่ให้มีสิทธิการเลือก ส.ว. เพราะกำหนดให้เฉพาะประชาชนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปที่จะสามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.ได้ จากข้อมูล จำนวนประชากรไทย แบ่งเป็นช่วงอายุ ณ เดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านพบว่า มีประชาชนที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 41 ปีขึ้นไป 31,694,623 คน จากประชากรทั้งหมด 65,087,166 คน ผู้ที่ต้องการ ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว.ต้องจ่ายค่ายสมัคร อีก 2,500 บาทถึงจะมีสิทธิที่จะเลือกได้ตั้ง

มากกว่านั้น กฎหมายกำหนดผู้ที่เป็นข้าราชการสามารถที่จะลาออกชั่วคราวเพื่อมาลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ว.ได้ ในการเลือกตั้งรอบนี้มี 4 กลุ่มที่เกี่ยวกับข้าราชการ สี่กลุ่ม 1.กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง 2.กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 3.กลุ่มการศึกษา 4.กลุ่มการสาธารณสุข ผู้ที่เป็นข้าราชการอยู่ในกลุ่มเหล่านี้และต้องการลงสมัคร ส.ว.ไม่เพียงต้องจ่าย 2,500 บาท แต่ต้องออกจากราชการชั่วคราวและงดรับเงินเดือน ยิ่งถ้าการเลือกตั้งกินเวลานานเท่าไร ผู้สมัครที่เป็นลาออกชั่วคราวจากข้าราชการยิ่งต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ที่สำคัญ การพิจารณากลับเข้าสู่การรับราชการจะขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาโดยไม่จำเป็นต้องถูกบรรจุในตำแหน่งเดิมก็ได้ ไม่รวมถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ถูกกำหนดโดยกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้หมายถึงต้นทุนที่คนเหล่านี้ต้องแบกรับโดยเฉพาะค่าเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ และความมั่นคงในหน้าที่การงานของพวกเขา การทำให้ต้นทุนการเข้าสู่การเลือกตั้งที่สูงยิ่งเป็นการกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง

ในอีกมุมหนึ่ง ประชาชนที่อายุไม่ถึง 40 หมดสิทธิเลือกตั้งทันที ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมากเพราะอำนาจของ ส.ว.ชุดนี้มีความเกี่ยวพันกับประชาชนอย่างมาก ถึงแม้จะไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีได้ก็ตาม แต่มีอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมายในรัฐสภา มีอำนาจในการสรรหาและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ เช่น ตำแหน่ง “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” การแต่งตั้ง “ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ” นอกจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” “คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน” เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้แต่งตั้ง “ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน” ก็เป็นหน้าที่ของวุฒิสภาในการให้ความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ว. และมีสิทธิในการเสนอความเห็นในกรณีร่างพระราชบัญญัติมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

ระบบการเลือกตั้งดังกล่าวนี้ทำให้คนอีกจำนวนมากเลิกสนใจ การเลิกสนใจการเลือกตั้ง ส.ว.ในครั้งนี้ เนื่องจากเขาเหล่านั้นไม่มีสิทธิที่จะเลือกได้ หรือมีต้นทุนที่สูงในการเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง แทนที่ระบบการเลือกตั้งจะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยส่งเสริมพลเมืองให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการออกแบบระบบการเลือกตั้งในลักษณะนี้กำลังกีดกันคนจำนวนมากออกจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง

นั กวิชาการกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนระบบการเลือกตั้ง ส.ว.ดังกล่าวเพราะเห็นว่าการเลือก ส.ว.ในลักษณะนี้จะทำให้กลุ่มเจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพลเข้ามาเป็น ส.ว.ได้ยากมากขึ้นเพราะระบบการเลือกที่สลับซับซ้อน
อีกเหตุผลสำคัญคือต้องการให้มีตัวแทนแต่ละกลุ่มอาชีพเข้าไปเป็นตัวแทนในรัฐสภา อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ ผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป

กี่คนจะลงรับสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ คนที่ลงจะไม่ถูกซื้อจากคนมีเงินให้ลงคะแนนให้หรือ ที่สำคัญคือ การนำระบบดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพลและการซื้อเสียงแต่ต้องแลกมาด้วยการตัดสิทธิคนอีกเป็นจำนวนมากมันคุ้มกันแล้วใช่หรือไม่ ยังมีการออกแบบเลือกตั้งวิธีอื่นที่ป้องกันปัญหาผู้มีอิทธิพลและการซื้อเสียงไปพร้อมกับการไม่ตัดสิทธิประชาชนไหม

สุดท้าย ผมคิดว่าการเลือกตั้ง ส.ว.รอบนี้เป็นอีกข้อต่อหนึ่งของการสืบทอดอำนาจของระบอบเก่าที่ทำให้การเลือกตั้งมีความยุ่งยากซับซ้อน ตัดสิทธิคนเป็นจำนวนมากที่กำลังตื่นตัวทางการเมืองในตอนนี้จากผลการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา ทำให้คนเลิกสนใจการเมืองเพราะทำให้รู้สึกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และส่งเสริมคนจำนวนส่วนน้อยเข้าไปมีบทบาทในการบริหารประเทศแทนที่จะส่งเสริมคนส่วนใหญ่ให้มีส่วนร่วมทางการเมือง นี่จึงเป็นกระบวนการสำคัญของผู้มีอำนาจพยายามลดทอนและทำให้ความเป็นพลเมืองของประชาชนในสังคมไทยที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองลดลงไป

ดังนั้นแล้วถึงแม้ว่า หลายท่านที่รักในประเทศนี้ สนใจการเมือง เคยออกมาแสดงพลังในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจะไม่มีสิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่เราอย่าให้ความเป็นพลเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยหายไป พลเมืองที่เข้มแข็งยังสามารถที่จะช่วยกันจับตาดูการเลือกตั้งครั้งนี้
ส่งข่าวข้อมูลให้กันแสดงให้เห็นคนส่วนใหญ่เห็นถึงความสำคัญของ ส.ว.และจับตาดูการทำงานของ ส.ว.หลังจากนี้ ส่วนท่านที่มีสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว.อย่าลืมไปใช้สิทธิของท่านจนทำให้การจัดตั้งผู้มีสิทธิเลือกสว.ทำได้ยากมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ยิ่งจะช่วยในการทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าและจรรโลงประชาธิปไตยให้เข้มแข็งต่อไปได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image