ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร |
เผยแพร่ |
“ไม่อยู่ปักกิ่งไม่รู้ว่าตัวเองต้อยต่ำขนาดไหน ไม่อยู่เซินเจิ้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองจนขนาดไหน”
คือคำกล่าวของชาวจีนซึ่งสะกิดให้ผู้ที่เคยมีภาพจำในคำว่า ‘เซินเจิ้น’ เป็นแหล่งของก๊อบปี้เกรดเอ บี ซี ในวันนี้ต้องจินตนาการเสียใหม่ เพราะในปัจจุบันเมืองดังกล่าวคือพื้นที่แห่งการลงทุนที่ผู้คนทั่วโลกหันมาจับตานับแต่การพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษใน พ.ศ.2523 โดยเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศจีนสู่ตลาดโลกในห้วงเวลานั้น
ตัดฉากมาในวินาทีนี้ หมู่บ้านชาวประมงที่เคยมีคนอยู่อาศัยเพียง 30,000 คน บนพื้นที่ราวๆ 2,000 ตารางกิโลเมตร ได้พลิกโฉมเป็นเมืองทันสมัยในระดับต้นๆ ของเอเชีย สร้างรายได้ให้รัฐบาลกลางมากกว่า 2 แสนล้านหยวนต่อปี ตีเป็นเงินไทยก็ใช้วิธีคูณ 5 ให้ได้เลขกลมๆ มาชื่นชมบนเครื่องคิดเลข โดยมีการเจริญเติบโตของจีดีพี เฉลี่ย 28% ต่อปี ต่อเนื่องยาวนานถึง 28 ปีรวด มีประชากรพุ่งพรวดจากหลักหมื่นเป็น 8.5 ล้านคน
ปัจจุบันเป็นเขตเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของจีน โดยเป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายนับไม่ถ้วนรวมถึง ‘หัวเว่ย’ ซึ่งล่าสุดถูกสหรัฐจัดเข้า ‘บัญชีดำ’ ทางการค้า ส่งผลให้บรรดาธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง ‘กูเกิล’ ต้องยุติความร่วมมือเป็นการชั่วคราว เป็นการเปิดศึก สร้างสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจที่โลกกำลังจ้องมองชนิดไม่กล้ากะพริบตา
ย้อนกลับไปในอดีตที่ไม่ไกลโพ้นแต่อย่างใด เซินเจิ้นเมื่อราว 40 ปีก่อน ประกอบด้วย 6 เขต ถ้าให้เทียบกับจังหวัดในไทยเพื่อให้นึกภาพตามง่ายๆ ก็คือ เมืองแห่งนี้มีพื้นที่เล็กกว่าระยองเล็กน้อย ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน ริมฝั่งแม่น้ำจูเจียง ทางทิศตะวันตก ใกล้กับเกาะฮ่องกง โดยสามารถเดินทางไปมาหาสู่อย่างง่ายดายด้วยไฮสปีดเทรน หรือรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ทางฮ่องกงเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2561 เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างฮ่องกงกับเมืองต่างๆ ของจีนให้สะดวกและฉับไวยิ่งขึ้น โดยใช้เวลาเพียง 14 นาทีก็ถึงสถานี ‘ฟูเทียน’ ในเมืองเซินเจิ้นที่รายล้อมด้วยตึกระฟ้าที่ต้องหมุนตัวมองแบบ 180 องศา
สถาปัตยกรรมหน้าตาล้ำสมัยและเม็ดเงินอภิมหาศาล ไม่อาจถูกเนรมิตขึ้นได้ด้วยเวทมนตร์หรือแรงอธิษฐานใดๆ หากแต่เกิดขึ้นด้วยนโยบายตามระบบกลไกตลาดในยุคแรกที่จีนเริ่มเปิดประเทศ หากมองพัฒนาการอาจแบ่งได้ 4 ช่วงเวลาสำคัญ ตั้งแต่การสร้างเมืองแห่งนี้ให้เป็นเขตการแปรรูปเพื่อการส่งออก จนถึงการก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในด้านอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี โดยระหว่างปี 2523-2528 จีนก่อร่างสร้างเซินเจิ้นให้พัฒนาจากหมู่บ้านเล็กๆ ให้เป็นพื้นที่สำหรับการแปรรูปสินค้าเพื่อส่งออกขายนอกประเทศ นักลงทุนส่วนใหญ่ในตอนนั้นมาจากฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศในเอเชีย กระทั่งปี 2528-2530 นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่พัฒนาจากเมืองอุตสาหกรรมการแปรรูปเข้าสู่การบริการและการออกแบบ โดยใน 2 ช่วงที่กล่าวมานี้เอง อาจยังเป็นภาพจำในใจคนไทยถึงสถานที่ผลิตสินค้าขนาดใหญ่ ทว่าเมื่อเข้าสู่ปี 2530-2535 มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น และนับแต่ปี 2535 เป็นต้นมา เซินเจิ้น ก้าวสู่เขตเศรษฐกิจแถวหน้าด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยราวครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรมทั้งหมดในเมือง คืออุตสาหกรรมด้านการโทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่ได้มีเพียงแบรนด์ดังอย่างหัวเว่ย แต่ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองเช่นกัน อาทิ ZTE หรือ Zhongxing Telecomunication Equipment ธุรกิจอุปกรณ์สื่อสารที่อาจไม่ค่อยคุ้นหูคนไทย แต่ถือครองส่วนแบ่งตลาดโลกมากกว่า 30% โดยเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนระดับท็อป 5 ของจีน และท็อป 10 ของโลก และร่วมมือกับค่ายสัญญาณมือถือดังในไทยพัฒนาสมาร์ทโฟนออกสู่ตลาดตั้งแต่ปลายปี 2556
มาถึงตรงนี้ คำถามสำคัญคือ ปัจจัยอะไรที่นำพาให้หมู่บ้านชาวประมงกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ประสบความสำเร็จมาไกลอย่างที่เป็นอยู่ ประเด็นนี้ ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ให้ข้อมูลไว้ว่า ปัจจัยแรกที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลกลางของจีนให้สิทธิในการออกนโยบายพิเศษสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ช่วยให้เริ่มสร้างสภาพแวดล้อมซึ่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเมือง โดยเฉพาะการดึงดูดเงินลงทุนสำหรับการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ เซินเจิ้นยังเป็นเมืองแรกในการนำร่องการปฏิรูปในรูปแบบต่างๆ สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน การบริหารงานของรัฐมีประสิทธิภาพ โดยพัฒนาและปฏิรูปการดำเนินงานอยู่ตลอด ไม่มีแช่แข็ง กระบวนการทำธุรกิจในเซินเจิ้นไม่ซับซ้อน และปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา มีความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษกับเศรษฐกิจในประเทศ
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานในเมืองยังรองรับการพัฒนา โดยท่าเรือของเซินเจิ้นจัดเป็นท่าเรือสำคัญอันดับ 4 ของโลก มีความพร้อมในระบบสาธารณูปโภค เหมาะสมกับการขนส่งด้วยรูปแบบต่างๆ อีกทั้งกฎหมายแรงงานยังยืดหยุ่นอีกด้วย โดยกล่าวกันว่า เมื่อมองไปตามท้องถนน หากเห็นผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้า นั่นไม่ใช่ชาวเซินเจิ้นโดยกำเนิด เพราะ 80 ใน 100 คนเป็นชาวจีนจากมณฑลอื่นๆ ที่เดินทางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเมือง
แม้ปัจจุบัน เซินเจิ้นจะเป็นเมืองเศรษฐกิจเต็มขั้น กวาดสายตาไปทางไหนก็มากมายด้วยตึกสูงสถาปัตย์รูปร่างแปลกตา และอาคารล้ำยุค ทว่าในอีกมุมยังมีพื้นที่สำหรับความสุนทรีย์ทางด้านศิลปะและไลฟ์สไตล์ หาใช่เมืองแห้งแล้งปราศจากสีสัน โดยมีการใช้พื้นที่โรงงานเก่ามารีโนเวตใหม่ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเก๋ๆ ที่มีทั้งห้องสมุด ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และนิทรรศการศิลปะหมุนเวียนให้เข้าเยี่ยมชมอย่างเพลินใจไม่รู้เบื่อ รวมถึงร้านรวงขายสินค้าแนวอาร์ตๆ แกลอรี่ แบรนด์เสื้อผ้าท้องถิ่นที่ผ่านการออกแบบตัดเย็บอย่างดี ร้านดอกไม้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล หรือแม้แต่กราฟิตี้ในมุมลับตา ก็ยังเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหาสำหรับเมืองแห่งนี้