แม่น้องฟอส ยันไม่ได้ตัดขาดครอบครัวสปาย ปัดพูดถึงเงิน 7 ล้าน เผยเสี่ยอ้วนจะพูดอะไรก็ได้

แม่น้องฟอสเปิดใจไม่เคยคิดตัดขาดครอบครัวน้องสปาย ระบุคำพูดที่ให้สัมภาษณ์ว่า “ต่อไปนี้ก็ อยู่ไผ อยู่มัน” เป็นคำพูดอีสานที่หมายถึงต่างคนก็ต่างแยกย้ายทำมาหากินกันไป ไม่ใช่หมายความว่า “อยู่ใคร อยู่มัน” ที่เป็นความหมายของคนภาคกลางว่าตัดขาดกัน ยืนยันสองครอบครัวรักกันเหมือนเดิมและยิ่งมีความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ส่วนกรณีเงิน 7 ล้านที่เสี่ยอ้วนอ้างถึงไม่ขอพูดเป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวน้องสปาย ขณะที่พ่อน้องฟอส ยอมคุยกับสื่อครั้งแรก สาเหตุเสียใจจนช็อกจากการตายของน้องฟอส ถึงกับกัดลิ้นของตัวเองเกือบขาด

จากกรณีคนร้ายก่อเหตุอุกฉกรรจ์ใช้อาวุธปืนยิง นายอนันตชัย หรือฟอส จริตรัมย์ อายุ 20 ปี และ น.ส.ปวีณา หรือสปาย นาเมืองรักษ์ อายุ 20 ปี ชาวอำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ จนเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ลานจอดรถฝั่งตรงข้ามพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเข้าชีจรรย์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยตำรวจเร่งล่าตัวคนร้ายได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเสี่ยอ้วน ได้ส่งตัวฝากขังดำเนินคดีไปแล้วแต่เกิดเรื่องดราม่า เมื่อฆาตกร “เสี่ยอ้วน” ออกมาพูดในทำนองว่าครอบครัวน้องสปายปอกลอกเงินกว่า 7 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ รายงานว่า จากการสอบถามนางจอมศรี ชมพูพื้น อายุ 43 ปี แม่ของนายอนันตชัย หรือน้องฟอส จริตรัมย์ เหยื่อหึงโหดของ “เสี่ยอ้วน” ทราบว่า ครอบครัวน้องฟอสเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่อำเภอท่าคันโท เมื่อเวลา 20.00 น. ของวันที่ 23 สิงหาคม และในช่วงเช้าจึงได้เดินทางเข้ามาเพื่อนำรถเก๋งมาซ่อมเนื่องจากไฟหน้าแตก ทันทีที่พบผู้สื่อข่าว พ่อและแม่ของน้องฟอส มีอาการตกใจเนื่องจากจำผู้สื่อข่าวไม่ได้ ภายหลังแนะนำตัวสีหน้าที่เศร้าจึงได้ยิ้มออกมา และพูดทันทีว่าในช่วงที่เข้า กทม. ซึ่งไปให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวใน กทม.นั้น คำพูดที่ว่า อยู่ใครอยู่มัน ในความรู้สึกนั้นหมายถึง อยู่ไผ อยู่มัน ที่คนอีสานจะหมายถึงต่างคนต่างอยู่แยกย้ายกันทำมาหากิน ไม่ใช่ตัดขาดกัน

นางจอมศรีได้ยืนยันว่า คำพูดดังกล่าวไม่ได้หมายถึงว่าระหว่างครอบครัวของตนกับน้องสปาย จะตัดขาดกัน แต่หมายถึงว่าหลังเกิดเหตุแล้ว ต่อไปก็คงต่างตนต่างอยู่ เพราะต้องแยกย้ายกันไปทำมาหากิน ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวตัดขาดกันแต่อย่างใด เพราะยังคงยืนยันว่า เด็กทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน และระหว่างทั้งสองครอบครัวก็มีความผูกพันกันเป็นญาติสนิทที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่

Advertisement

“ไม่มีความคิดว่าจะตัดขาดกันเลย แต่จะเป็นการให้กำลังใจกันมากกว่าเพราะตนก็เสียลูกชาย ส่วนครอบครัวนาเมืองรักษ์ ก็สูญเสียน้องสปายซึ่งทั้งสองครอบครัวก็เจ็บช้ำพอกันอยู่แล้ว ต่อไปก็จะมีความเป็นห่วงซึ่งกันและกันมากกว่า ยืนยันว่าแปลความหมายกันผิดไปเอง” นางจอมศรีกล่าว

นางจอมศรีกล่าวต่อว่า ในส่วนที่มีประเด็นเรื่องเงิน 7 ล้านบาท ซึ่งเสี่ยอ้วนอ้างว่าได้นำไปให้น้องสปาย เรื่องนี้ไม่ขอพูดถึงเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว อีกทั้งในมุมมอง น้องสปายก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่ “เสี่ยอ้วน” ซึ่งเป็นฆาตกรก็คงต้องหาวิธีเอาตัวรอดจะพูดยังไงก็ได้ ต่อไปตนไม่ขอพูดถึงอีกเพราะนับจากนี้หลังจากที่น้องฟอส ลูกชายได้ตายไปแล้ว ชีวิตก็คงจะต้องกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งก็จะเป็นแม่บ้านดูแลบ้านให้พี่สาว ก็คงจะต้องดิ้นรนไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ

Advertisement

“สิ่งเดียวที่ตนต้องการฝากถึงนั้น กรณีนี้ขอให้เป็นตัวอย่างของลูกหลาน คนอีสานหรือทั่วไปที่ต้องดิ้นรนทำงาน ก็ขอให้ผู้มีอันจะกินเป็นเศรษฐกิจ เจ้าของกิจการ ได้สงสารคนจน ลูกชาวนา ที่เข้าไปดิ้นรนหาเงินกลับมาจุนเจือครอบครัว ให้มีความเมตตาปรานี และก็ขอให้ลูกหลานที่ดิ้นรนได้ดูกรณีนี้เป็นตัวอย่างว่าหากผิดพลาดไปอยู่กับเจ้านายใจร้ายก็ต้องให้ระวังเพราะอาจจะมาจบชีวิตแบบนี้ สุดท้ายก็ขอกราบขอบคุณสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวจนสามารถจับกุมคนร้ายมาได้ทั้งหมด และขอกราบขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจับกุมตัวคนร้ายมาได้ ขอกราบขอบพระคุณด้วยใจจริง” นางจอมศรี แม่น้องฟอสกล่าว

ขณะที่ นายสุพิน จริตรัมย์ พ่อน้องฟอส ได้ออกมาพูดคุยกับสื่อในครั้งแรก โดยบอกว่าสาเหตุที่ไม่พูดก็เพราะรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และว่า ตั้งแต่รู้ข่าว ซึ่งตัวเองเป็นคนคิดมากอยู่แล้วและกินยาจิตเวช ก็ล้มไปชักบนพื้นดินหน้าบ้านและได้ไปกัดลิ้นของตัวเองเกือบขาด โดยได้แสดงบาดแผลให้กับสื่อมวลชนดูด้วย จากนั้นก็ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้กับครอบครัว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image