‘กรวีร์’ ขอคุย ‘ช้างศึก’ จัดคิวเลก 2 เพราะมีทั้ง ‘ซีเกมส์-ยู23-ชุดใหญ่’
หลังจากที่ “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่ สามารถเคลียร์ปัญหาวุ่นในการเตรียมทีมสู้ศึก “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องของการขยับเลื่อนลีกเพื่อเปิดทางให้ทีมชาติได้เก็บตัว จนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าไม่ปรับคิวเตะ แต่ขอให้สโมสรให้ความร่วมมือปล่อยนักเตะอย่างพร้อมเพรียงนั้น
อย่างไรก็ตาม ทีมชาติไทยยังมีโจทย์ใหญ่อยู่ในปี พ.ศ.2565 ที่จะมีโปรแกรมแข่งขัน 3 รายการใหญ่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ได้แก่ กีฬาซีเกมส์ ที่ประเทศเวียดนาม เดือนพฤษภาคม, ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ยู-23 ที่ประเทศอุซเบกิสถาน 1-19 มิถุนายน และฟุตบอลเอเชี่ยนคัพ รอบคัดเลือก 8-14 มิถุนายน ขณะที่ฟุตบอลไทยลีก จะปิดฤดูกาลในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2565
เรื่องนี้ “บิ๊กแชมป์” นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานบริหาร บริษัท ไทยลีก จำกัด กล่าวว่า สำหรับโปรแกรมแข่งขันของฟุตบอลภายในนั้น ตนต้องขอเรียนว่าการวางคิวแข่งขัน จัดตามปฏิทินฟีฟ่าเดย์ ทุกฟีฟ่าเดย์ได้เว้นเอาไว้ทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อมีการร้องขอให้ปรับโปรแกรม ก็มีความฉุกละหุกพอสมควร ดังนั้น สำหรับปีหน้า สำหรับรายการซีเกมส์ ที่เพิ่มเข้ามา เพราะเจ้าภาพเวียดนามนั้นเลื่อนจากปีนี้เพราะโควิด-19 ไปแข่งพฤษภาคมปีหน้า และถึงตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าฟุตบอลจะเริ่มแข่งเมื่อไหร่ และมีแววว่าก้ำกึ่งกับช่วงปิดฤดูกาลไทยลีกพอดี ตนคิดว่าหากทีมชาติไทย จะต้องการคิวซ้อม ควรจะมาหารือกันแต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมล่วงหน้า
นายกรวีร์กล่าวต่อไปว่า หากทีมชาติไทยต้องการเวลาเตรียมตัว ก่อนซีเกมส์ จะได้หารือกับสโมสร ถึงการปรับเปลี่ยนคิว เพื่อให้กระทบน้อยที่สุด ซึ่งแต่เดิมในเลก 2 นั้น วางไว้ไม่มีกลางสัปดาห์เลย ขณะที่ช่วงฟีฟ่าเดย์จะมี 2 ช่วงคือมกราคม-มีนาคมนั้น เมื่อไม่มีเอเชี่ยนคัพรอบคัดเลือกแล้ว ทีมชาติจะยังต้องการหรือไม่ หรือจะแลกกับฟีฟ่าเดย์ดังกล่าว กับช่วงเวลาอื่นเพื่อความสะดวกในการเตรียมทีมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ช่วงฟีฟ่าเดย์นั้น จริงๆ แล้วก็ไม่อยากเอามาจัดบอลภายในของไทยนัก เพราะแม้ทีมชาติไทยไม่มีแข่ง แต่ทีมชาติอื่นก็แข่งขันกัน ก็อาจมีการดึงตัวนักเตะไปทีม ซึ่งสโมสรก็ต้องปล่อยอยู่ดี
“เราอยากคุยกันล่วงหน้าเลย ดูแผนของทีมชาติไทย เพื่อมาปรับคิวว่าจะเอาอย่างไรดี วางลงตรงไหน ซึ่งเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ก็มีแข่งต่อเนื่อง เราขยายวันปิดฤดูกาลข้ามไปกรกฎาคมเลยหรือไม่ หากเป็นแบบนั้น สโมสรจะแบกค่าใช้จ่ายไหวไหม” นายกรวีร์กล่าวปิดท้าย
