นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการประจำปี
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เรื่อง โลกเปลี่ยน คลังปรับ ในหัวข้อ อนาคตการคลังไทยกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกเติบโตช้า และอ่อนแอ ดังนั้นไม่ว่าจะออกมาตรการกระตุ้น หรืออัดเม็ดเงินอย่างไร เศรษฐกิจก็ไม่ดีขึ้นมาก เห็นจากเศรษฐกิจสหรัฐในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยเพียง 1% แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ดันเม็ดเงินเข้าไปกระตุ้นเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตถึง 2.5% เท่ากับอดีตเมื่อ 4-5 ปีก่อน ดังนั้นภาพเศรษฐกิจและการเมืองข้างหน้าเป็นสิ่งที่ประเมินยาก เพราะโลกมีความปกติไม่เหมือนเดิม
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยนั้นผูกติดกับเศรษฐกิจโลกจนแยกกันไม่ออก โดยสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นกว่า 70%ของจีดีพี จากเมื่อก่อนแค่ 10%ของจีดีพี ซึ่งการส่งออกเป็นสิ่งที่ท้าทายของไทย เพราะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การส่งออกไม่เพิ่มขึ้นเลย อีกทั้งต่อไปการกีดกันทางการค้าจะเพิ่มขึ้น มีกระแสการต่อต้านการค้าเสรีเพิ่มขึ้น แต่ไทยยังคงต้องพึ่งพาเงินทุนต่างชาติในการขยายเศรษฐกิจ เพราะยังไม่สามารถระดมเงินเองได้เพียงพอ
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ สูงกว่าการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างประเทศในไทย ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนมากขึ้น ซึ่งน่ากลัวว่าเงินลงทุนของไทยไปทำให้เศรษฐกิจ หรือจีดีพีประเทศอื่นโตขึ้น”นายศุภวุฒิ กล่าว
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในระยะสั้นยังมีความผันผวนเกิดขึ้นต่อเนื่อง จากนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยสหรัฐใช้นโยบายดอกเบี้ยที่สวนทางกับยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน จึงเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน ส่งผลให้ค่าเงินบาทยังผันผวน สิ่งที่จะถูกกระทบต่อไป คือสภาพคล่อง แม้ว่าที่ผ่านมาไทยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง แต่หากวันหนึ่งข้างหน้า มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนมาก แล้วไทยดึงดูดการลงทุนได้ไม่เพียงพอ ปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้น เมื่อสภาพคล่องไม่เพียงพอ ไทยก็ต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อดึงเม็ดเงินเข้ามา แม้จะมีการคาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะยังไม่ปรับขึ้นในช่วง 1 ปีนี้ข้างหน้าก็ตาม
