เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

สุขสันต์วันเกิด! หนึ่งขวบรัฐประหารเมียนมา/ยุทธบทความ สุรชาติ บำรุงสุข

21.02.2022

ยุทธบทความ

สุรชาติ บำรุงสุข

 

สุขสันต์วันเกิด!

หนึ่งขวบรัฐประหารเมียนมา

 

“ผู้นำรัฐประหารในเมียนมาพยายามที่จะปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างรุนแรง แต่ในหนึ่งปีที่ผ่านไป ฝ่ายต่อต้านกลับเข้มแข็งมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”

Helen Regan ผู้สื่อข่าว CNN

 

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาคือ วาระครบรอบ 1 ปี ของการยึดอำนาจในเมียนมา…

1 ปีแล้วที่ความพยายามของรัฐบาลทหารเมียนมาที่นำโดยนายพลมินอ่องหล่าย ในการ “กระชับอำนาจ” จากการรัฐประหารในวันนั้น ยังไม่ประสบความสำเร็จ และการต่อต้านรัฐบาลทหารจากฝ่ายประชาธิปไตยยังคงดำเนินต่อไป และดำเนินไปด้วยความเข้มข้นอย่างยิ่ง แม้รัฐบาลจะปราบปรามอย่างรุนแรง

หนึ่งปีหลังการรัฐประหารที่ผ่านมา คงจะต้องถือว่าเป็น “บทเรียนสำคัญ” สำหรับนักรัฐประหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะภาพการต่อสู้อย่างกล้าหาญของฝ่ายประชาธิปไตย ดูจะเป็น “เครื่องเตือนใจ” อย่างดีว่า รัฐประหารไม่ใช่เส้นทางสู่อำนาจที่ปูลาดด้วย “กลีบกุหลาบ” สำหรับผู้นำทหารอีกต่อไปแล้ว

จนมีคำวิจารณ์ว่าการยึดอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นั้น เป็น “รัฐประหารที่ล้มเหลว” (failed coup) [ความเห็นของ Yanghee Lee ผู้ประสานงานของสหประชาชาติทางด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา]

เพราะจนถึงบัดนี้ รัฐบาลทหารยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จริง

และตัวเลขความสูญเสียของฝ่ายต่อต้านในรอบหนึ่งปีคือ 1,503 ชีวิต ถูกจับ 11,838 คน

 

มุมมองเปรียบเทียบ

แม้รัฐประหารไทยในปี 2549 และ 2557 จะสร้างคำตอบให้แก่ผู้นำทหารสาย “ขวาจัด” ว่า การยึดอำนาจของทหารในโลกศตวรรษที่ 21 ยังเป็นเรื่องง่าย และเมื่อยึดแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลมาก กล่าวคือ ฝ่ายต่อต้านบนถนนจะไม่เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับการใช้อำนาจของผู้นำรัฐประหาร ที่มีทหารเป็นกำลังสนับสนุนหลัก

ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกลัวพรรคฝ่ายค้าน เพราะรัฐบาลทหารสามารถใช้อำนาจจัดการกับ ส.ส.ที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน ทั้งยังอาจใช้อำนาจยุบพรรคฝ่ายค้านได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังใช้อำนาจทั้งทางทหาร/ตำรวจ และทางกฎหมายจัดการฝ่ายตรงข้ามเพื่อสร้างให้เกิด “อาณาจักรแห่งความกลัว” อันจะทำให้สังคมตกอยู่ในสภาพของการ “ยอมจำนน” และทำให้การต่อต้านรัฐบาลทหารเกิดขึ้นได้อย่างจำกัด

การใช้มาตรการในแบบ “สายเหยี่ยว” เช่นนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลทหารในหลายประเทศใช้มาก่อน เพื่อควบคุมการต่อต้านที่เกิดขึ้น และยังเป็นมาตรการที่จะแสดงให้เห็นถึง “อำนาจทหาร” ในทางการเมือง

ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นในการเมืองไทยมาแล้ว จนปรากฏการณ์เช่นนี้คือ ภาพสะท้อนของความสำเร็จของผู้นำทหารไทย โดยเฉพาะการใช้อำนาจหลังการรัฐประหาร 2557 ที่ผู้นำทหารสามารถควบคุมการเมืองได้ตามต้องการ

และอาเซียนก็ไม่เคยแสดงการคัดค้านรัฐประหารไทยอย่างจริงจัง ภายใต้ “บรรทัดฐานอาเซียน” ที่ยึดหลักการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” จนกลายเป็นการเปิดโอกาสให้แก่การรัฐประหาร โดยองค์กรในภูมิภาคจะไม่เข้าแทรกแซง

ภาพทางการเมืองในเวทีสาธารณะเช่นนี้กลายเป็นความสำเร็จที่อาจทำให้ผู้นำทหารเมียนมาเกิดความเชื่อมั่นว่า รัฐประหารไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ทหารจะควบคุมไม่ได้

อีกทั้งผู้นำทหารเมียนมาเคยทำรัฐประหารมาก่อน และประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายมาแล้วทุกครั้ง

อีกทั้งการใช้อำนาจทางทหารในการปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดในการเมืองของประเทศมานาน แม้จะดูเหมือนไม่แตกต่างกับรัฐประหารในไทย

แต่ว่าที่จริงแล้วรัฐประหารไทย 2557 เผชิญกับแรงต้าน ทั้งในเวทีภายในบ้านและในเวทีนอกบ้าน

อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารทั้งในไทย (2557) และในเมียนมา (2564) เริ่มส่งสัญญาณทางการเมืองว่า การยึดอำนาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ผู้นำทหารวาดฝันเอาไว้อีกต่อไป…

ยิ่งหันกลับมาดูในวาระครบรอบ 1 ปี ของการยึดอำนาจในเมียนมา ยิ่งเห็นชัดว่ารัฐประหารไม่ใช่สิ่งที่ “ทรงพลังอำนาจ” ในทางการเมืองเช่นในอดีตอีกแล้ว

ฉะนั้น การใช้ความรุนแรงหลังรัฐประหารจึงเป็นภาพสะท้อนที่เด่นชัดถึงความพยายามที่ยังไม่จบที่กองทัพไม่สามารถควบคุมการเมืองได้จริง

ผลที่ตามมาจากสถานการณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ราคาที่ผู้นำทหารเมียนมาต้องจ่ายสำหรับความต้องการที่จะอยู่ในอำนาจนั้น สูงมาก และเป็นรายจ่ายที่ “ปิดบัญชี” ไม่ลงด้วย

อันอาจกล่าวได้ว่า งบดุลการเมืองของการรัฐประหารในครั้งนี้ เป็น “รายจ่ายสูงสุด” ที่ประเทศต้องเสียให้แก่ผู้นำกองทัพ

 

หนึ่งปีแห่งความรุนแรง

ดังนั้น หากสำรวจสถานการณ์ในรอบปีอย่างสังเขปแล้ว อาจกล่าวเป็นข้อสังเกตได้ ดังนี้

1) กองทัพเมียนมาอาจยึดอำนาจได้สำเร็จ แต่กลับไม่สามารถปกครองประเทศได้ และที่สำคัญ ผู้นำทหารยังไม่สามารถที่จะกระชับอำนาจทางการเมืองในการควบคุมสังคมได้จริง การต่อต้านรัฐบาลทหารยังขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง และการปราบปรามของรัฐบาลดำเนินไปอย่างไม่จำแนก จนเกิดข้อเสนอในเวทีระหว่างประเทศให้ถือว่ากองทัพเมียนมาเป็น “กลุ่มก่อการร้าย”

2) ผู้นำทหารเมียนมาในอดีตอาจใช้กำลังเข้าจัดการฝ่ายต่อต้านและ/หรือฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่างง่ายดาย แต่การใช้กำลังในครั้งนี้กลับต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างไม่เกรงกลัว และส่งผลให้ความรุนแรงขยายตัวออกไปในสังคมอย่างกว้างขวาง และสะท้อนให้เห็นในอีกด้านว่าคนไม่กลัวทหารเช่นในอดีต และผู้คนจากหลากหลายกลุ่มเข้าร่วมการต่อสู้กับรัฐบาลทหารอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

3) การเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารสะท้อนให้เห็นชัดว่า การต่อต้านในครั้งนี้มีความเป็นเอกภาพอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการต่อสู้ในอดีต จนเสมือนกับการรัฐประหารในปี 2564 เป็นปัจจัยที่บีบให้ฝ่ายต่อต้านที่มาจากกลุ่มต่างๆ และมีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ สามารถร่วมมือกันได้อย่างดีในการต่อสู้กับรัฐบาลทหาร จนมีข้อสังเกตว่าขบวนการต่อต้านรัฐประหารครั้งนี้ เป็นขบวนประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาในปัจจุบัน

4) การต่อต้านรัฐประหารในครั้งนี้ถูกยกระดับทางการเมืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยการจัดตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” หรือที่เรียกว่า “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ” (The National Unity Government หรือ NUG) ซึ่งรับภารกิจในการขับเคลื่อนการต่อสู้ในเวทีสากล รวมทั้งในเวทีสหประชาชาติด้วย อันทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างภายในกับภายนอกอย่างชัดเจน

5) ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถสร้าง “แนวร่วม” ภายในประเทศได้อย่างกว้างขวาง ดังจะเห็นถึงการที่คนหนุ่มสาวชาวเมียนมาส่วนหนึ่ง เดินทางเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยในชนบท และยังได้รับการฝึกอาวุธจากกองกำลังดังกล่าว อันทำให้การต่อต้านรัฐบาลทหารในอนาคตจะมีมิติของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เห็นถึง “การหนีทัพ” ของกำลังพลในกองทัพ

6) ในเวทีสากลก็เป็นอีกส่วนที่มีการเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันของฝ่ายประชาธิปไตย จนทำให้รัฐบาลทหาร และผู้นำทหารเมียนมาตกเป็น “จำเลย” อย่างมากในเวทีระหว่างประเทศ และกลายเป็นแรงกดดันอย่างสำคัญที่รัฐบาลทหารต้องเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากกองกำลังฝ่ายรัฐ อันเป็นประเด็นที่รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก

7) แม้รัฐบาลทหารอาจจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง ด้วยเหตุผลของผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของจีนในเมียนมา แต่การกระทำของรัฐบาลจีนทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนเมียนมาอย่างมาก เพราะเกิดความรู้สึกว่า จีนไม่เพียงแต่เข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในเมียนมาเท่านั้น หากแต่ยังให้การสนับสนุนกับรัฐบาลทหารที่เป็น “ต้นตอ” ของปัญหาความขัดแย้งอีกด้วย ดังนั้น จีนจึงเป็นอีกหนึ่ง “จำเลย” ในการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยในครั้งนี้

8) ที่ผ่านๆ มา อาเซียนในฐานะองค์กรระหว่างประเทศในภูมิภาคแทบจะไม่เคยแสดงท่าทีต่อการรัฐประหารที่เกิดในประเทศสมาชิก บนหลักการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” แต่ในครั้งนี้ อาเซียนพยายามที่จะแสดงบทบาทใหม่ โดยเฉพาะการออกมติเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาความรุนแรงในเมียนมา และเป็นสัญญาณที่หลายประเทศในอาเซียนไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจที่เกิดขึ้น

9) อาเซียนพยายามที่หาทางออกด้วยการจัดตั้ง “ทูตพิเศษ” ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการตรวจสอบสถานการณ์ความรุนแรงจากการใช้กำลังในเมียนมา แต่จนถึงปัจจุบันทูตอาเซียนยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้จริง และแรงกดดันกลับมาที่อาเซียนที่จะต้องหาทางลดความรุนแรงและความสูญเสีย อันส่งผลให้เมียนมากลายเป็นตัวอย่างของวิกฤตในภูมิภาค ที่อาเซียนจะต้องเข้ามาแก้ไข

10) ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมเมียนมา ทำให้หลายฝ่ายกังวลอย่างมากถึง การขยายตัวของการต่อสู้ ที่นับวันยิ่งเป็น “การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ” และคาดเดาได้ว่า หากการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธยกระดับมากขึ้นแล้ว ย่อมนำไปสู่สถานการณ์ “สงครามกลางเมือง” ได้ในอนาคตอันใกล้ หรือในอีกทาง อาจนำไปสู่สภาวะ “รัฐล้มเหลว” ได้เช่นกัน

11) การขยายตัวของความรุนแรงส่งผลโดยตรงต่อสถานะของประเทศ ซึ่งมีปัญหาความยากจนเป็นพื้นฐานแต่เดิม และยังถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกด้วย สภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดวิกฤตอย่างหนักในสังคมเมียนมาปัจจุบัน และยังเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าการเร่งให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมสำหรับประชาชนเมียนมา เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน

12) หนึ่งปีภายใต้รัฐบาลทหารพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า รัฐประหารไม่ใช่หนทางในการสร้างความหวังให้แก่ผู้คนในเมียนมา แต่กลับเป็นความพยายามของผู้นำทหารที่จะดึงให้การเมืองถอยห่างออกจากการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย การเหนี่ยวรั้งในครั้งนี้ไม่ง่ายเช่นในอดีต แต่กลับพาสังคมถลำลึกสู่วิกฤตทางการเมืองมากขึ้น และขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิด “วิกฤตความมั่นคงของมนุษย์” แก่ผู้คนในสังคมด้วย

13) แม้ผู้นำทหารพยายามที่จะนำเสนอภาพว่า ผู้ต่อต้านรัฐบาลทหารเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และทหารใช้กำลังเพื่อพาสังคมกลับสู่ความสงบเรียบร้อย แต่วาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการใช้อำนาจของฝ่ายทหาร ไม่ได้รับการตอบรับจากสังคม คนในสังคมไม่เชื่อข่าวและข้อมูลของรัฐบาลทหาร

14) การต่อสู้ระหว่าง “เสรีนิยม vs อำนาจนิยม” ในเมียนมาในรอบปีที่ผ่านมา ถูกผลักดันให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “การแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่” ในเวทีการเมืองเอเชีย อันทำให้การต่อสู้กับรัฐบาลทหาร และการคงอยู่ของรัฐบาลทหารในครั้งนี้ มีบริบทระหว่างประเทศทับซ้อนอยู่อีกด้วย

 

อนาคต

จากที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น ทำให้มีข้อสรุปในวาระครบรอบหนึ่งปีรัฐประหารเมียนมาได้ว่า เป็นหนึ่งปีของ “ทุพภิกขภัยแห่งอำนาจ” สำหรับผู้นำทหาร…

เป็นหนึ่งปีที่ผู้นำกองทัพพาสังคมเข้าสู่ “ยุคมิคสัญญี” ได้อย่างน่าใจหาย…

เป็นหนึ่งปีที่พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า รัฐประหารคือ “หายนะ” ของประเทศ…

เป็นหนึ่งปีที่สะท้อนให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของรัฐบาลทหาร!



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (131)
เล่าถวาย ‘พระธรรมทูต’
อนุสาสน์ เทียนวรรณ บทนิยาม ใคร คนหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน ไพร่กระฎุมพี
สถานการณ์จริงของผู้สูงอายุในประเทศไทย
ความอดทนอดกลั้น (Tolerance) : คุณธรรมพื้นฐานของโลกร่วมสมัย
พลเมืองไทย พลเมืองโลก ดูจากปัญหาแผนที่
ความมหัศจรรย์ ของนักปั่น Tour de France
Choline มีประโยชน์ต่อสมอง แต่ทำไมเราไม่รู้จัก
2475 ที่แตกต่าง เรื่องเล่าการปฏิวัติ ในการ์ตูนและสัปปายะสภาสถาน เมื่อปีที่ 93
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ สุดยอดนักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
เมษา พฤษภา 2553 ประสาน 3 พลัง ปราบ ‘แดง’ 3 ป. ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย
สงครามเย็นไซเบอร์ กำลังบานปลาย?