

เหยี่ยวถลาลม
ล้าหลังพะรุงพะรัง
ไร้ทิศทาง
องค์กรตำรวจไทย
อยากจะรู้จริงๆ ว่า ที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 ผ่านสภาฉลุยวาระแรก ด้วยคะแนนเสียง 322 ต่อ 158 นั้น ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติรู้สึก “โล่งอก” หรือ “เจ็บอก”
กล่าวตรงไปตรงมา ควรจะ “เจ็บอก” ถ้าหากฟังการอภิปรายของ “พนิดา มงคลสวัสดิ์” ส.ส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน อย่างตั้งใจ
ใครไม่ได้ฟังสด หาชมได้ในยูทู[ ภายใต้หัวข้อว่า “โอกาสสุดท้าย-ก่อนตำรวจไทยพังจริง”
ยอมรับว่าการอภิปรายของคุณผึ้ง พนิดา คุณภาพแน่นด้วยข้อมูลแหลมคม ละเอียด กระชับ ได้ความกระจ่าง ผู้ชมผู้ฟังตาสว่าง ทั้งสำนวนโวหารก็คมคายเร้าใจในทุกบททุกตอน
ถ้ากล่าวให้รวบรัดก็จะได้ความว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเป็นองค์กรที่หมักหมมและรุงรังด้วยปัญหา นับตั้งแต่โครงสร้างที่ล้าหลัง สร้างหน่วยงานขึ้นมาซ้ำซ้อน ก่อให้เกิดความสูญเสียที่ประชาชนต้องจ่ายซ้ำๆ ทั้งกับค่าจ้างตำรวจ ค่าสร้างอาคารที่ทำการ เครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ น้ำมัน เบี้ยเลี้ยง ซึ่งในท่ามกลางภารกิจที่สับสนอลหม่านนั้น การบริหารจัดการกับ “สถานีตำรวจ” อันเป็น “หัวใจ” ของงานตำรวจกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ไม่พัฒนาศักยภาพเพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง
แผนงบประมาณขององค์กรตำรวจจึงถูกตีแผ่ว่าสุรุ่ยสุร่าย ซ่อนเงื่อน เต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้นที่ไม่มีระบบติดตามตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถอธิบายให้กระจ่างได้อย่างโปร่งใส ส.ส.พนิดาจึงเรียกร้องให้ “หยุดวงจรการทำนาบนหลังคน”
โครงสร้างองค์กรตำรวจและระบบความคิดเกื้อกูลแก่การทุจริตคอร์รัปชั่น!
ถ้าถามว่า ตำรวจเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
“22 พฤษภาคม 2557” เป็น 1 ในปฐมเหตุทศวรรษที่ล้มเหลว
รัฐประหารคราวนั้นทำลายองค์กรตำรวจรุนแรงจนประเมินความเสียหายไม่ได้
“กฎ” ทั้งหมดที่เคยใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายย้าราชการตำรวจถูกยกเลิก “อำนาจ” การตัดสินใจถูกโยกไปไว้ที่ “อำเภอ” (ใจ)
การให้รางวัล การชง ปูนบำเหน็จ การดอง และเก็บเข้ากรุ ล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของ “บุคคล” และ “แก๊ง”
รัฐประหารทำความเสียหายใหญ่หลวงกับประเทศชาติแล้วยังทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจอย่างน้อย 1 ทศวรรษดำดิ่งลงสู่ก้นเหวการบริหารงานบุคคล
“ผู้ร้ายในเครื่องแบบ” ไม่เพียงแต่ลอยนวล
หลังเลือกตั้งปี 2566 มีการฟื้นฟูระบบ “ก.ตร.” และเมื่อ พ.ร.บ.ตำรวจถูกบังคับใช้ “กฎ ก.ตร.” ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567 ก็คลอดตามออกมา
ในกฎ ก.ตร. 2567 ได้เกริ่นนำเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า…
“เพื่อรักษาความเที่ยงธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม การคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ต้องพิจารณาจากอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกันเพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเที่ยงธรรม มีประสิทธิภาพ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด และภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ในการนี้ เพื่อกำหนดให้ระบบคุณธรรมเกิดขึ้น จึงออกกฎ ก.ตร.ไว้ดังต่อไปนี้”
เมื่อปัญหาใหญ่ของการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ผ่านมา อยู่ที่ “ผู้มีอำนาจ” ในกฎ ก.ตร.จึงมีหัวข้อ
ว่าด้วย “วิธีการคัดเลือกหรือแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ”
กำหนดวิธีการ แนวทางดำเนินงานไว้ชัดแจ้ง ตายตัว ให้ “ผู้มีอำนาจ” ทำตาม เช่น
ในการแต่งตั้งระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ ลงไปถึงผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองจเรตำรวจแห่งชาติ-ให้แต่งตั้ง “เรียงตามลำดับอาวุโส ทั้งหมด”
การแต่งตั้งผู้บัญชาการ และจเรตำรวจ ลงไปถึงผู้บังคับการ-ให้เรียงตามลำดับอาวุโส “ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50” ของจำนวนตำแหน่งว่างในแต่ละระดับในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
การแต่งตั้งรองผู้บังคับการ ลงไปจนถึงสารวัตร-ให้เรียงตามลำดับอาวุโส “ไม่น้อยกว่าร้อยละ 33” ของจำนวนตำแหน่งที่ว่างลงในแต่ละระดับตำแหน่งของหน่วยนั้น
ส่วนจำนวนตำแหน่งว่างที่เหลือ ให้คำนึงถึง “อาวุโสและความสามารถประกอบกัน รวมทั้งความเหมาะสมกับตำแหน่ง”
“กฎ ก.ตร.” ฉบับล่าสุดนี้อาจเอนเอียง จากปลายสุดข้างหนึ่ง ไปยังปลายสุดอีกฟากหนึ่ง แต่ “กฎ” มีแล้วก็ต้องปฏิบัติ ร่องรอยจึงจะปรากฏให้เห็น ข้อจำกัด จุดอ่อน ซึ่งต้องบันทึกเก็บข้อมูล รวบรวมประมวลปัญหา นำเสนอถกเถียงอภิปราย กระทั่งเข้าสู่ขั้นพัฒนาปรับปรุง
ไม่ใช่ใช้อย่างข้างๆ คูๆ จนกระทั่งองค์กรตำรวจไม่มี “ผู้นำ” ในความหมายที่เป็นผู้นำพาองค์กรก้าวไปข้างหน้า ผู้นำแห่งศรัทธา ผู้สร้างความน่าเชื่อถือเชื่อมั่น หรือผู้ทรงพลังทางความคิด ผู้มีอิทธิพลบันดาลใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชามุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจเพื่อบรรลุถึงความสงบสุขของสังคมและความผาสุกของประชาชน
ตำรวจมีแต่ “ผู้นำโดยตำแหน่ง” เป็นหัวหน้างาน
ตำรวจถูกหลอมรวมให้อยู่ในอาณัติแห่งผลประโยชน์ ตำรวจถูกครอบงำ ถูกสั่งการจาก “ผู้นำตามตำแหน่ง” ที่แต่งตั้งโยกย้ายกันมา ซึ่งเกือบจะทั้งหมด มาเพียงเพื่อ “หยิบฉวย” ชิ้นปลามันแล้วก็จากไป
ไม่มีผู้นำหน่วยที่ทิ้งตำนานให้เล่าขานในความเป็นผู้รู้ ผู้ลงมือทำ ผู้นำงาน ผู้มากด้วยทักษะประสบการณ์ในงานป้องกัน งานสืบสวน ซักถาม สอบสวน ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็ง เคร่งครัดระเบียบวินัย ดำรงตำแหน่งอย่างมีเป้าหมาย ด้วยสำนึกรับผิดชอบ เสียสละและทุ่มเทให้กับภารกิจ “พิทักษ์สันติราษฎร์”
องค์กรตำรวจจึงไม่เพียงแต่ “ไม่สร้าง” ผู้นำ ในทางตรงกันข้าม ระบบตำรวจยังถึงขั้น “ปิดทาง” สำหรับผู้นำที่องค์กรต่างๆ ในโลกนี้ต้องการ ไม่มีรางวัลสำหรับคนเก่ง ไม่มีตำแหน่งให้คนกล้า ไม่มีที่ยืนให้กับคนทำหน้าที่ด้วยความซื่อตรง
เมื่อในหน่วยเต็มไปด้วย “ผู้มาหยิบฉวย” องค์กรตำรวจก็ไม่มีสง่าราศี
ถ้าในองค์กรมีแต่ “นาย” ที่มารั้งตำแหน่ง ถูๆ ไถๆ สอดส่ายสายตาหาแต่รายได้นอกงบประมาณ ให้สิ้นวัน สิ้นเดือน สิ้นปีไป “ความชั่วมากมี ความดีไม่ปรากฏ” แล้วยังไม่มีใครลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง
อนาคตจะเป็นเช่นไรเล่า!?!!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022