

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน
“สิ่งสำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่บนบก แต่อยู่ในท้องทะเลต่างหาก” เซอร์เดวิด แอตเทนโบโร่ห์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์สารคดีชาวอังกฤษ สรุปความเห็นภายหลังถ่ายทำหนังเรื่องล่าสุด “โอเซียน” เสร็จสิ้นและนำออกฉายเมื่อเร็วๆ นี้
เซอร์เดวิดตระเวนไปทั่วโลกเพื่อดูสถานที่กำกับการถ่ายทำ “โอเซียน” เป็นเวลา 2 ปี และรู้สึกสลดหดหู่กับวิธีการจับปลาในท้องทะเลซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นขบวนการทำลายล้างธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างมโหฬาร
มหาสมุทรเป็นผืนน้ำทะเลเชื่อมต่อกันครอบคลุมพื้นที่ราว 3 ใน 4 ของผิวโลก มวลน้ำเค็มมีสัดส่วน 97 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นปริมาณ 1,300 พันล้านลูกบาศก์กิโลลิตร มหาสมุทรจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกใบนี้ เป็นส่วนหนึ่งในวัฏจักรคาร์บอน มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศและลมฟ้าอากาศ
มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตกว่า 240,000 สปีชีส์ แม้มหาสมุทรในส่วนที่ลึกสุดลึกราว 11 กิโลเมตรวัดจากผิวน้ำทะเล ไม่มีแสงส่องถึง ยังไม่เคยมีใครลงไปสำรวจ แต่ประเมินว่ามีสิ่งมีชีวิตใต้น้ำอีกมากกว่า 2 ล้านชนิดอยู่ในนั้น
สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในทะเลไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า รวมถึงแบคทีเรียขนาดเล็กและจุลินทรีย์อื่นๆ เช่น แพลงตอน ถ้าเราตักน้ำทะเลขึ้นมาวิเคราะห์เพียง 1 ลิตร พบว่ากักเก็บจุลินทรีย์ได้มากถึง 38,000 ชนิด
มหาสมุทรเป็นแหล่งอุดมด้วยแพลงตอน พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้สร้างออกซิเจนให้เราสูดหายใจมากถึง 80% มหาสมุทรช่วยดูดซับคาร์บอนที่ชาวโลกปล่อยออกมา มหาสมุทรจึงเป็นแหล่งกักเก็บความร้อนอันกว้างใหญ่
ภาวะโลกเดือดที่เกิดขึ้นช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มหาสมุทรดูดซับมากถึง 90% และผิวมหาสมุทรชั้นบนสุดเพียง 2-3 เมตร กักเก็บความร้อนได้มากเท่ากับชั้นบรรยากาศทั้งหมดของโลก
แนวปะการัง ป่าชายเลน หญ้าทะเล ช่วยซับรับแรงกระแทกจากคลื่น พายุ และน้ำท่วมได้มากถึง 97% แถมยังช่วยป้องกันการกัดเซาะตลิ่ง โดยเฉพาะแนวปะการังเป็นเสมือนผืนป่าใหญ่ใต้ทะเลที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ
ชาวโลกใช้ทรัพยากรจากทะเลทั้งด้านประมง การค้าและขนส่ง รวมไปถึงการผลิตตามแนวชายฝั่งคิดเป็นมูลค่าปีละ 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ถ้าอยากรู้เป็นเงินบาทเท่าไหร่ก็เอา 33 คูณเข้าไป)
ในทางกลับกัน ถ้ายังตักตวงผลประโยชน์อย่างไม่บันยะบันยังเช่นนี้ต่อไป ทะเลจะถูกทำลายพังยับปีละ 428 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทะเลมาจากสาเหตุหลักนั่นคือการจับปลามากเกินไป (overfishing) การประมงทำลายล้าง (destructive fishing) และการประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม (Illegal, Unreported, and Unregulated Fishing หรือ IUU Fishing)
การจับปลามากเกินไป มีทั้งจับสัตว์ใต้ทะเลขนาดเล็กก่อนโตเต็มวัย ทำให้จำนวนสัตว์น้ำที่จะเกิดมาแทนที่ลดลง ปกติแล้วปลาเมื่อมีไข่ครั้งแรกมีจำนวนน้อย ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 แม่ปลาผลิตไข่ได้มากขึ้น
อีกรูปแบบหนึ่งการจับปลาที่โตเต็มวัยในปริมาณมากเกินไปทำให้สัตว์รุ่นใหม่ที่อยู่ในระยะวางไข่ลดลง สัดส่วนปลาอายุมากที่ถูกจับก็ลดลงตามไปด้วย
ถ้าเกิดสภาวะอย่างนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้ประชากรสัตว์น้ำหมดไปจากทะเล
ส่วนการประมงทำลายล้างด้วยวิธีการรุนแรง เช่น ใช้ระเบิดทำลายหน้าดิน ปะการังหรือหญ้าทะเล หรือใช้ไฟฟ้าชอร์ตแหล่งวางไข่ปลาและสัตว์น้ำ
สำหรับการทำประมงผิดกฎหมายนั้นเป็นการประมงที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐหรือเรียกง่ายๆ ว่าประมงเถื่อน ใช้เรือไม่มีสัญชาติและทำประมงขัดต่อมาตรการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ
อีกประเด็นที่สำคัญ เรือประมงใช้อวนตาข่ายขนาดเล็กถี่จับไม่เลือกขนาด แต่กลับลากจับสัตว์ใต้ทะเลอื่นๆ ขึ้นด้วยโดยไม่ตั้งใจ
การใช้อวนลากใต้ท้องทะเลทำลายปะการังและแหล่งที่อยู่ของสัตว์พังยับ รวมถึงการจับปลาเล็กๆ ที่เป็นแหล่งโซ่อาหารจนเกิดผลกระทบกับความสมดุลทางระบบนิเวศ
จุดโฟกัสใน “โอเชียน” หนังสารคดีใหม่ของเซอร์เดวิดมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมการลากอวนใต้ท้องทะเลซึ่งใช้เรือลากขนาดใหญ่ติดตั้งอวนจับปลาผูกไว้ท้ายเรือในระดับใต้น้ำและถ่วงน้ำหนักไว้
อวนมีลักษณะคล้ายๆ ถุงกาแฟโบราณ เรือลากจูงอวนให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ถุงจะกวาดเอาทุกอย่างใต้ทะเล
วิธีการอย่างนี้เซอร์เดวิดบอกว่าทำให้ก้นทะเลพังฉีกออกจากกัน ร่องรอยการทำลายสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ ถือเป็นการล่าอาณานิคมในทะเลสมัยใหม่
อุตสาหกรรมประมงใหญ่ๆ ทั่วโลกใช้วิธีการลากอวนใต้ทะเล จากการศึกษาพบว่าอวนลากเอาสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีกระดูกสันหลังใต้ทะเลกว่า 41 เปอร์เซ็นต์ แนวปะการังและหญ้าทะเลจะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
ช่วง 30 ปีที่ผ่านมานี้ แนวปะการังทั่วโลกกว่า 50% พังพินาศยับเยิน ส่วนหนึ่งมาจากการใช้เรืออวนลาก
อุตสาหกรรมประมงในบ้านเราใช้เรืออวนลากไม่น้อยหน้าใคร จากจำนวนเรือประมงที่ขึ้นทะเบียนเกือบ 7 หมื่นลำนั้น มีเรืออวนลากเกือบๆ 4 พันลำ

มีสถิติชี้ให้เห็นว่า การใช้อวนลากนั้นทำให้ปริมาณการจับสัตว์น้ำลดลง ระหว่างปี 2551-2562 ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ในปี 2551 อยู่ที่ 784,991 ตัน เหลือ 637,213 ตันในปี 2562 ลดลง 19%
เมื่อดูรายละเอียดในช่วงเวลาเดียวกันพบว่า ปริมาณสัตว์น้ำที่เรืออวนลากจับได้นั้นมีเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2551 มีน้ำหนัก 154,972 ตัน เป็น 201,426 ตันในปี 2562 เพิ่มขึ้น 30% แสดงให้เห็นว่าการใช้เรือในเชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทำให้จับสัตว์น้ำได้มากขึ้นนั้นขัดแย้งกับความเป็นจริงและกระทบกับประมงพื้นบ้านอย่างมาก
การใช้เรืออวนลากใต้ทะเลทำลายล้างสัตว์น้ำ ปลาเล็กปลาน้อย อย่างปลาทู ปลากะตักหรือหมึก หากปล่อยให้ปลาเล็กๆ ที่โตขึ้นอีก 3-6 เดือนจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้หลายเท่าตัว
ขอย้อนกลับมาที่หนังสารคดี “โอเชียน” ของเซอร์เดวิด ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีฉากโชว์ให้เห็นความสวยงามใต้ท้องทะเล ปะการังที่หลากหลายสีสัน ปลาเล็กปลาน้อยว่ายเวียนไปตามร่องแนวปะการัง
ภาพของฝูงวาฬพ่นน้ำพร้อมๆ กันกลางมหาสมุทรผืนใหญ่ ภาพของสัตว์บนบกที่หากินตามแนวชายฝั่งทะเลอย่างเริงร่า
จากนั้นฉากหนังตัดมาให้เห็นภาพเรือประมงขนาดใหญ่กำลังลากอวนใต้พื้นทะเล ตะกุยท้องทะเลผิวทรายฟุ้งกระจาย ปลาเล็กปลาน้อยรวมถึงฉลาม เต่า พากันหนีตาย ทั้งที่เต่าและฉลามไม่ได้เป็นเป้าหมายของชาวประมง แต่กลับถูกกวาดรวมอยู่ในอวนลาก
เซอร์เดวิดบอกว่า ในอดีตยุคไดโนเสาร์สูญพันธุ์ แต่ฉลามกับเต่าสามารถเอาตัวรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ ถ้าอุตสาหกรรมประมงใช้อวนลากใต้ทะเลอย่างเช่นวันนี้ ทั้งฉลามและเต่าไม่สามารถจะอยู่รอดได้
เช่นเดียวกับภาพของอวนลากใต้ทะเลเพื่อขุดหาหอยเชลล์ตามแนวชายฝั่งของอังกฤษและตุรกี ครูดตามพื้นทะเลท่ามกลางบรรดาสัตว์ใต้น้ำว่ายหนีให้พ้นจากอวนมรณะสุดชีวิต เป็นภาพที่ไม่ต่างไปจากรถแทร็กเตอร์กวาดหน้าดินและโค่นต้นไม้ในป่าใหญ่จนราพณาสูร
ฉากของพื้นที่ทะเลภายหลังเรืออวนลากกวาดเกลี้ยง โล้นร้างน่าอับเฉา ไร้สิ่งมีชีวิต ปะการังแตกเป็นเสี่ยงๆ ปลิวว่อนในน้ำขุ่นมัว
วันที่หนัง “โอเชียน” นำออกฉายรอบปฐมทัศน์นั้นเป็นวันครบรอบวันเกิด 99 ปีของเซอร์เดวิด ในช่วงเกือบๆ 100 ปี ผู้กำกับหนังสารคดีคนนี้ผ่านประสบการณ์มามากมาย
“ครั้งแรกที่ฉันเห็นทะเลตอนเป็นเด็ก คิดว่าเป็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่ช่วยยังประโยชน์มนุษยชาติ แต่วันเวลาผ่านจนเข้าใกล้จุดจบของชีวิต ได้รู้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับเป็นความจริง” เซอร์เดวิดบอก และว่า ชาวโลกกำลังไล่ล่าฆ่าล้างมหาสมุทร เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่สุดของมนุษยชาติในรอบหลายพันปี
“โอเซียน” เป็นหนังสารคดีที่เซอร์เดวิดพยายามให้ชาวโลกเห็นถึงความสำคัญของมหาสมุทรซึ่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากเกือบ 1 ใน 3 ที่ถูกปล่อยออกมาเหนือชั้นบรรยากาศโลก
เซอร์เดวิดบอกว่า เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มๆ อุตสาหกรรมล่าวาฬทำให้ประชากรวาฬสีน้ำเงินใหญ่ที่สุดในบรรดาวาฬทั้งหมดถูกไล่ล่าจนเหลืออยู่เพียง 1% เท่านั้น เรียกได้ว่าเกือบสูญพันธุ์
ต่อมากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมลุกฮือรณรงค์ “เซฟวาฬ” ให้บรรดาชาติที่ทำอุตสาหกรรมล่าวาฬหยุดไล่ล่าเมื่อปี 2529 วาฬสีน้ำเงินในมหาสมุทรแอตแลนติกเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวในเวลาเพียง 10 ปี
ในปี 2544 เซอร์เดวิดเห็นวาฬสีน้ำเงินเป็นครั้งแรกและชาวโลกได้เห็นภาพนั้นเหมือนๆ กันบนหน้าจอในสารคดีเรื่อง “The Life of Mammals”
เซอร์เดวิดสร้างหนัง “โอเชียน” ครั้งนี้ หวังให้ผู้นำชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทรที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ได้เห็นถึงหายนะของมหาสมุทร ถ้าอุตสาหกรรมประมงยังใช้วิธีทำลายล้าง
และอยากให้ทุกคนร่วมกันปกป้องมหาสมุทรอยู่คู่โลกด้วยความสมดุลทางธรรมชาติ