เลขาฯสภาพัฒน์ มั่นใจปี’66 ศก.ไทยไปได้ ห่วงแค่หนี้ครัวเรือน ชี้นโยบาย ตปท.ต้องสร้างเซฟโซน ดึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เข้าประเทศ
เมื่อเวลา 09.05 น. วันที่ 21 มิถุนายน ที่ห้องอินฟินิตี้ 1-2 โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ กรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์มติชนจัดงานสัมมนา “Thailand : Take off” โดย นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “อนาคตเศรษฐกิจไทย”
นายดนุชากล่าวว่า การที่เราจะเทกออฟประเทศไทยในช่วงถัดไป มองว่าในช่วงต้นที่เรียนว่าสถานการณ์ธุรกิจเราเป็นอย่างไรในปี 2566 โดยสรุปยังคงยืนยันว่าภายในปี 2566 ของเรายังคงเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจภายใน ปัญหาอยู่ที่เรื่องของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลก ราคาพลังงานที่เคยสูงในช่วงที่ผ่านมา
โดยเฉพาะ LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ที่มันเคยขึ้นไปถึง 48 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ตอนนี้เหลือประมาณ 8-9 หรือ 11 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่งก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพวกค่าไฟฟ้า หรือค่าอะไรต่างๆ ค่าสาธารณูปโภค โดยเฉพาะค่าไฟในช่วงถัดไปก็มีแนวโน้มลดลงอยู่แล้วโดยธรรมชาติจากราคาพลังงานที่มันลดลง และเศรษฐกิจภายในเองก็ยังโตได้จะมีนิดเดียวเท่านั้นเอง
แต่เรื่องของตัวหนี้ครัวเรือนที่อาจจะเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญกันมากๆ หน่อย เพราะว่าตัวนี้มันจะเป็นตัวฉุดรั้งเรื่องของการใช้จ่าย ความสามารถในการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และด้วยขนาดนี้เองสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังก็คือตัวสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ของภาคสินเชื่อรถยนต์ ที่คงต้องมานั่งดูกันในรายละเอียด และเฝ้าระวังกันอย่างจริงจัง เพราะว่าตัวนี้มันขยับขึ้นมาเรื่อยๆ ควอเตอร์ละประมาณ 0.2-0.3% ขยับขึ้นมาโดยที่ยังไม่ลดลง
อีกตัวหนึ่งก็คือสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งยังคงขยายตัวได้อยู่ เพียงแต่ว่ามันก็เป็นตัวหนี้ตัวหนึ่งที่ต้องพูดคุยกันให้เข้าใจว่าการใช้จ่าย อย่าใช้จ่ายเกินตัว ถ้าใช้จ่ายเกินตัวท่านอาจจะประสบความยากลำบากได้ เพราะว่ามีหนี้ก็ต้องจ่าย มีหนี้จะขอพักหนี้คงไม่ได้ จะขอปรับโครงสร้างหนี้น่าจะได้ แต่ว่ามีหนี้ต้องใช้เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องวินัยการเงินการคลัง และวินัยการเงินของภาคประชาชน
“ทีนี้เรื่องเศรษฐกิจภายในผมเรียนไปแล้วว่า มันก็มีเรายังคงเดินได้ แต่ทีนี้ข้างนอกของเราในการที่จะเดินหน้าอีกประมาณ 3-4 ข้างหน้า จะเดินหน้าอย่างไร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กระแสเรื่องของสิ่งแวดล้อมเราก็เห็นอยู่แล้วและเราก็เตรียมการไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไฟที่มาจาก Renewable Energy (พลังงานหมุนเวียน) ที่จะซัพพลายกับภาคการผลิต
เศรษฐกิจโลก ณ วันนี้ หรือในช่วงเศรษฐกิจถัดไปมันอาจจะไม่ได้ดีมากอย่างที่เราคาด ประกอบกับความขัดแย้งยังคงดำรงอยู่ เรื่องนี้เป็นทั้งโอกาสและเป็นเรื่องความเสี่ยงที่เราต้องคำนึงถึง” นายดนุชากล่าว
นายดนุชากล่าวว่า โอกาสของเราคืออะไร ในช่วงถัดไปถ้าเรามีนโยบายการต่างประเทศที่เป็นกลาง ที่สามารถจะทำให้ทุกคนเชื่อมั่นได้ว่าเราเป็นเซฟโซน เราก็จะสามารถดึงเอาอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีสูงๆ โดยเฉพาะพวกชิปต่างๆ เข้ามาในประเทศมากขึ้น โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อย เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นช่วงสำคัญที่เราจะใช้ในการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมของเรา ซึ่งเป็นภาคที่สำคัญ และเกี่ยวพันกับการส่งออก
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำไปในช่วงที่ผ่านมาในเรื่องของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใน 13 หมุดหมายของเรา หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่ามันเดินหน้าอย่างไร เรื่องของยานยนต์ไฟฟ้าทุกท่านเห็นแล้วว่ามันเดินหน้าไปมากแล้วและพยายามดึงซัพพลายทุกอย่างเข้ามาในอีโคซิสเต็ม ประตูการค้า ในเรื่องโลจิสติกส์ตอนนี้เอาเส้นทางที่เป็นเส้นทางสำคัญก็คือเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่วิ่งขึ้นไปจีน อันนี้เป็นตัวที่เราสามารถเชื่อมต่อกับจีนและส่งของไปขายในตลาดจีนได้มากขึ้น ซึ่งได้ทำไปแล้ว
“อุตสาหกรรมดิจิทัลเราก็ดึงเอาดาต้าเซ็นเตอร์ เอาคลาวด์เซอร์วิสเข้ามา อิเล็กทรอนิกส์ก็พยายามดึงเข้ามาอยู่ตอนนี้ และมีการพูดคุยกันอยู่ เรื่องของการแพทย์สุขภาพ เราใช้รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของเราที่มีกำลังในการลงทุนเป็นตัวดึงเอาอุตสาหกรรมที่เป็นเรื่องของ pharmaceutical (เภสัชกรรม) เข้ามา รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ที่พยายามดึงเข้ามาในไทย
เรื่องของการเกษตรตอนนี้ได้ทำเรื่องโครงการนำร่องในพื้นที่การเกษตรต่างๆ ที่จะทำเหมือนกับเป็น third party ก็คือกับภาคเอกชนด้วย กับภาควิชาการด้วยในการที่จะเอาเครื่องมือ เครื่องจักรไปให้กับเกษตรกรได้ใช้ในกลุ่มเกษตรกร เพื่อสร้างผลิตภาพ รวมทั้งนำงานวิจัยเข้าไปด้วยเพราะฉะนั้นตอนนี้กำลังทำโครงการนำร่องอยู่ที่ทั่วประเทศ ก็ทำกับกระทรวงเกษตรฯ เอกชน มหาวิทยาลัย และตัวศูนย์วิจัยของรัฐด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำรอไว้ให้แล้วเหลือแต่เรื่องดึงดูดการลงทุนก็ไปก็คือเรื่องของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค ที่ได้มีการทำไว้ไม่ว่าจะเป็นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ถามว่าทำไมต้องไปทำ ที่ทำก็ทำเพราะอยากให้เกิดการขยายตัวของศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจไปในภูมิภาค เพื่อให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ในภูมิภาค เป็นโอกาสของคนพื้นที่ที่จะมีงานมีรายได้
ซึ่งทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาในเมืองใหญ่ เพราะเมื่อเมืองใหญ่มันโตมากมันจะเป็นปัญหาในเชิงการบริหารจัดการ เพราะถ้ามีการกระจายส่วนนี้ออกไปให้ประชาชนสามารถทำงานไกลบ้านได้ก็ทำให้เขาสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในพื้นที่ได้ รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของความเหลื่อมล้ำไปด้วยในตัว โดยเฉพาะในเรื่องกระจายรายได้” นายดนุชากล่าว
นายดนุชากล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยปีนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เศรษฐกิจภายในยังดีอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ อาจจะมีหนี้ครัวเรือนที่เป็นความเสี่ยง แต่เรื่องของนอกประเทศเองก็เป็นเรื่องที่เราต้องจับตามองใกล้ชิด เพราะความขัดแย้งต่างๆ ก็ยังคงดำรงอยู่ และเราต้องใช้ความขัดแย้งตรงนั้นเป็นโอกาสในการนำอุตสาหกรรมต่างๆ เข้ามาเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตของเรา
“แต่ทั้งหมดทั้งปวงในช่วงถัดไป ประเทศไทยจะเดินหน้าได้ก็คงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกท่าน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ต้องทำงานด้วยกัน ภาครัฐทำงานคนเดียวมันก็ไปได้ไม่ถึงไหนหรอกครับ ต้องอาศัยภาคเอกชนเข้ามาร่วมกันด้วย เพราะฉะนั้นก็จะเทกออฟประเทศไทย ทุกคนต้องช่วยกันครับ และประเทศไทยก็จะขยับตัวได้มากขึ้น เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากกว่านี้ และพวกเราทุกคนก็จะมีความสุข มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” นายดนุชา กล่าว
ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เช็กอิน Thailand : Take off แน่น! เกาะเวทีฟัง 5 กูรูโชว์วิชั่นเศรษฐกิจ ชมไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กเครือมติชน
- ดนุชา ปาฐกถา เปิดเวที Thailand : Take off อีก 4 กูรูต่อคิวฉายภาพเศรษฐกิจไทย ครบจบทุกมิติ (รับชมสดที่นี่)
- เลขาฯสภาพัฒน์ ขอรีแคป ก่อนเทคออฟ ลุ้นจีดีพี 2.7% ห่วงส่งออก แนะปรับโครงสร้างอุตฯ-ขยายท่องเที่ยว
- ดนุชา ชี้โอกาสลงทุน หลังรถอีวีบูม มอง ‘รัฐสวัสดิการ’ คลังต้องแข็ง แนะขยายฐานภาษี