ย้อนเส้นทาง ‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’ ฉายาที่ไม่ได้มา เพราะโชคช่วย

ย้อนเส้นทาง ‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’ ฉายาที่ไม่ได้มา เพราะโชคช่วย

สปอร์ตไลท์ส่องแสงใส่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อีกครั้ง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตี และรมว.กลาโหม เซ็นคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับ “กรมปทุมวัน” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะข้าราชการตำรวจ อีกครั้ง

จากนายตำรวจ ที่ได้ชื่อว่า คนระดับยศสูงสุด “พล.ต.อ.” ยังใหญ่สู้ไม่ได้ แต่จู่ๆก็ดวงตก “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ในขณะนั้น เซ็นคำสั่งฟ้าผ่าที่ 232/2562 วันที่ 5 เมษายน 2562 ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พ้นจาก ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) มาปฏิบัติหน้าที่ศปก.ตร. อาคารที่ 1 ชั้น 20 สตช. ขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม จนวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่สีกากีด้วยกัน

คาดว่า น่าจะเป็นปมการจัดโผแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.-สว. กว่า 9,000 ตำแหน่ง

จากนั้น ยังโดนคำสั่งจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้ขาดจากอำนาจในกรม มาสังกัดใหม่ เป็น “ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” เพราะถืออยู่ใน “บัญชี” เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบ ตามคำสั่ง คสช.ที่ 2/2562 ประกอบคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2558 ด้วย

Advertisement

ท่ามกลางข่าวลือสะพัดหลายกระแสถึง “เหตุจูงใจ” การ “ปลดฟ้าผ่า” โดยมีกระแสข่าวต้นเรื่อง จากกรณี “คลิปแฉ” เสียง “บิ๊กสีกากี” ล้วง-ล้ำคดียิงถล่มรถยนต์ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ที่หน้าร้านนวด จนมีการเปิดปม ความไม่ชอบมาพากลในโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจสอบและพิสูจน์อัตลักษณ์ หรือ ไบโอแมทริกซ์ และโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้า ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้กลับมา

จากคลิปแฉนี้เอง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีคำสั่งย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา พ้น ตร. ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ เสนอตั้งกรรมการสอบกรณีคลิปเสียงหลุด อาเตอร์ช็อกถึง เมื่อนายกฯออกคำสั่งปรามการเคลื่อนไหว พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้รักษาจรรยา ไม่ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง พร้อมขู่ลงโทษวินัย จนเจ้าตัวได้ลาไปบวช ที่อินเดีย

นอกจากเปิดศึกกับ “ผบ.แป๊ะ” แล้ว ระหว่างการต่อสู้ให้ได้กลับมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังเคยยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งโอนย้ายตัวเอง จากตำแหน่ง ผบช.สตม.ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย แต่ศาลยกฟ้อง

Advertisement

แน่นอนฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ได้มา เพราะโชคช่วย

เพราะก่อนหน้าที่จะเข้ากรุ โดนย้ายสังกัด ถือเป็นนายตำรวจดาวฤกษ์พุ่งเร็วเวอร์คนสำคัญ

ด้วยบุคคลิกและปฏิสัมพันธ์ กับผู้คนรอบกาย กลายเป็นที่มาของฉายาหวานเจี๊ยบ พร้อมคำอธิบายเชิงล้อเลียน “ครับพี่ครับ ครับ ครับ ครับพี่ ครับ ครับพี่” เพราะถือเป็นคำพูดติดปากของนายตำรวจหนุ่มคนนี้

เป็นนายตำรวจที่มีพื้นเพเป็นคนสงขลา แดนใต้ เกิดในครอบครัวตำรวจ บิดาเป็นนายตำรวจชั้นประทวน ยอมรับว่า บิดาที่เคยทำงานใกล้ชิด พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ บิดา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. และ “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร แต่ “บิ๊กโจ๊ก” ปฏิเสธ ตนเองไม่ใช่เด็กในบ้านดามาพงศ์ อย่างที่ใครกล่าวหาร่ำลือ

เรียนมัธยมที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ รุ่นที่ 31 เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 ในรุ่น พราน 47 เดอะโจ๊กคือผู้นำ

ได้เป็นรองสารวัตร ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2537 เป็นรองสารวัตรได้ 6 ปี 1 เดือน วันที่ 16 มีนาคม 2543 ขึ้นเป็นสารวัตร

เป็นสารวัตรโจ๊ก ได้เพียง 4 ปี 8 เดือน ก็ขยับเป็นรองผู้กำกับการโจ๊ก เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 เป็นรองผู้กำกับการอยู่ได้ไม่นาน 4 ปี ต่อมาขยับเป็น ผู้กำกับการโจ๊ก ติดยศ พ.ต.อ. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เป็นผู้กำกับการอยู่ได้ 4 ปี 1เดือน ก็ขยับเป็นรองผู้บังคับการ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2555

ปี 2555 ตอนนั้น “บิ๊กโจ๊ก” เป็น ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ยุคที่มีผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ชื่อ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ยศขณะนั้น ในการแต่งตั้งวาระประจำปี ผลงานสถานีตำรวจเพื่อประชาชนดีเด่น ซึ่งโรงพักแห่งนี้ได้มาต่อเนื่อง ทำให้บิ๊กโจ๊ก ได้ขยับขึ้นเป็นรองผู้บังคับการ

บิ๊กโจ๊ก ได้เป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา บ้านเกิด ถูกเลือกให้ทำหน้าที่ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาส่วนหน้า ดูแลพื้นที่ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา จ.สงขลา 4 อำเภอพื้นที่สีแดงภัยความไม่สงบต่อเนื่องชายแดนใต้ ด้วยบทบาทหน้าที่ส่งให้รองผู้บังคับการหนุ่มในตอนนั้น ได้รับสิทธินับอายุราชการแบบทวีคูณ 1 ปี 5 เดือน กับอีก 13 วัน สำหรับใช้นับอาวุโสในการแต่งตั้งเฉกเช่นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย 3 จังหวัดชายแดนใต้นายอื่นๆ

อานิสงส์จากวันทวีคูณชายแดนใต้ ส่งให้ รองผู้การฯโจ๊ก ขยับเป็น ผู้การฯโจ๊ก ติดยศ พล.ต.ต. ในปี 2558 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 เมื่ออายุยังไม่ถึง 45 ปีเต็ม ในตำแหน่ง ผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าประสานนายกรัฐมนตรี

ในยุค “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. ขณะที่มีคำสั่งให้บิ๊กโจ๊กรักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว ตั้งแต่ ต้นเดือนตุลาคม 2557 แล้ว “บิ๊กโจ๊ก” ทำหน้าที่นายตำรวจประสานงานใกล้ชิดมากกับ  “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ใกล้ชิดขนาด ในปี 2559 ในยุคต่อมาที่มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นผบ.มีคำสั่งถึงหัวหน้าหน่วยตำรวจทั่วประเทศ ให้รายงานเหตุสำคัญถึง พล.อ.ประวิตร ผ่าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยิ่งกว่านั้น พล.อ.ประวิตร ยังแต่งตั้ง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ช่วยโฆษกประจำตัวด้วย

เวลานั้นเจอ “บิ๊กป้อม” ที่ไหน ต้องได้เห็น “บิ๊กโจ๊ก” ที่นั้น เรียกได้ว่า แทบจะเป็นเงาตามตัว

ก่อนหน้านี้ ระหว่างปรากฏภาพ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เดินสายทำบุญ ขอพรให้กลับมาเป็นตำรวจอีกครั้ง พล.อ.ประวิตร ถูกสื่อข่าวถาม แม้จะบอกไม่รู้ๆ แต่พูดเป็นนัย “ถ้ามีตำแหน่งก็มาได้ แต่นี่ไม่มีตำแหน่งนะสิ”

แต่วันนี้ชัดเจนแล้ว “บิ๊กตู่” ยอมรับ เปิดทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับสตช.

“ไม่ใช่การลงนามแต่เป็นเรื่องของการทำงานที่โยกมา เมื่อสอบแล้วยังไม่ได้ข้อยุติก็ส่งกลับไป และไปสอบต่อที่โน่น”

แม้พล.อ.ประยุทธ์จะระบุว่าไปสอบต่อ แต่จากที่หมดสิทธิ์จบชีวิตราชการตำรวจ คราวนี้ได้กลับกรมฯสมใจ

จากนี้เส้นทางตำรวจของ “บิ๊กโจ๊ก” เจ้าของฉายา “หวานเจี๊ยบ” จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษา น่าติดตาม 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image