‘ศิริกัญญา’ ประกาศ ไม่รับงบติดโรคเรื้อรัง ไม่แก้ปัญหาประเทศ จี้ถอนร่าง-นายกฯลาออก
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าชี้แจงหลักการเหตุผล และรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิก
ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- นายกฯ ร่ายยาวชั่วโมงครึ่ง ของบ’65 ตั้งเป้าจีดีพีโตร้อยละ 5 รับภูมิคุ้มกันหมู่จากวัคซีน
- “สมพงษ์” ขวางงบ’65 อัดรบ.อ่อนด้อย ไร้วิสัยทัศน์ จัดงบกองทัพ มากกว่าสาธารณสุข
- “บิ๊กตู่” ลุกโต้ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่จริง จัดงบกองทัพ มากกว่าสธ. ลั่น “รบ.ผมไม่มีทุจริต”
- “ประเสริฐ” ชี้ 7ปีประยุทธ์ ผลาญงบ 20 ล้านล้าน ถ้านายกฯยังชื่อนี้ ขอไม่ให้ผ่าน
- ‘วิโรจน์’ ไล่ รบ.ลาออก จัดงบประมาณ ‘ไร้สามัญสำนึก’ เหมือนลูกทรพีตื๊อซื้อของเล่น ให้กองทัพซุกงบ
- ส.ส.ปชป. ซัดรบ. จัดงบไม่ตอบโจทย์วิกฤต หนี้ท่วมรายได้ อีก 81ปีโน้น ถึงจะใช้หมด
- ‘ชาดา’ แนะ ‘อนุทิน’ หลังสธ.โดนตัดงบ ‘หัวหน้าครับ ถ้าเขาไม่รัก กลับบ้านเราเถอะ!’
จากนั้น เวลา 15.43 น. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า ในปีงบประมาณ 2565 กำลังจะเริ่มในอีก 3 เดือนต่อจากนี้ แต่อนาคตประเทศไทยเหมือนเหรียญที่ลอยอยู่กลางอากาศจะออกหัวหรือออกก้อยก็ได้ทั้งสองทาง เป็นช่วงที่ประเทศอยู่ระหว่างรอยต่อว่า โรคระบาดกำลังจะจบลงอย่างไร โดยปีนี้เราคาดหวังว่ารัฐบาลจะอัดฉีดงบประมาณเพื่อปั๊มหัวใจกระตุ้นชีพจรเศรษฐกิจและฟื้นฟูประเทศให้กลับมาดีกว่าเดิมได้ แต่รัฐบาลได้ปรับลดงบประมาณลง 185,000 ล้านบาท โดยอ้างเหตุผลว่าทำทุกอย่างตามกฎหมายแล้ว ตนคิดว่าหากรัฐบาลจะนำหลังพิงกฎหมาย และผลักภาระไปให้ประชาชนแบบนี้ เราคงเอาข้าราชการมาบริหารประเทศ และไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรีก็ได้ ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไม่เห็นว่ามีปัญหาเรื่องเงินไม่พอใช้ ไม่เช่นนั้นจะยอมกลืนน้ำลายตัวเองออกพระราชกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินอีก 500,000 ล้านบาท ไปทำไม แต่แทนที่จะออกเป็นพระราชบัญญัติงบกลางปี ที่มีรายละเอียดชัดเจนกับเลือกทางที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและความรับผิดทั้งปวง และขอให้สภา และประชาชนเซ็นเช็คเปล่าให้ ทั้งๆ ที่เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง การตั้งงบประมาณรายจ่ายที่ลดลง และยังมีการตัดงบด้านสวัสดิการ และงบด้านการศึกษาต่างๆ
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ในปี 2565 จากงบประมาณที่ถูกตัดลดลงไป 1.85 แสนล้านบาท แต่เงินที่จะลงไปถึงประชาชนจริงๆ น้อยลงไปยิ่งกว่านั้นเสียอีกเพราะต้องเอาเงินงบประมาณไปใช้หนี้ ที่ไม่ได้มีแค่หนี้สาธารณะ ต้องไปชดเชยภาระผูกพันต่างๆ มากมายที่ได้สร้างไว้ก่อนหน้านี้ เปรียบเหมือนคนที่กำลังป่วยไข้ด้วยโรคในปัจจุบัน แต่รุมเร้าด้วยโรคประจำตัวที่เรื้อรังมานาน ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ต้องใช้ให้เงินทุนสำรองจ่าย 2.4 หมื่นล้านบาท ช่วงก่อนออก พ.ร.ก.เงินกู้และมีงบกลางไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่ได้ตั้งงบไปใช้คืนในปี 2564 จึงต้องมาใช้คืนในปีนี้
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า โรคเรื้อรังอีกโรค คือรัฐราชการที่ใหญ่โตเทอะทะ ทำให้งบเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการที่เพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้เบ็ดเสร็จรวมแล้วค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนสวัสดิการข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างรัฐ สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40% ของงบประมาณ เมื่อรัฐบาลไม่กล้าเผชิญหน้ากับรัฐราชการ จึงเลือกตัดงบสวัสดิการของประชาชน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองถูกตัดไป 2,000 ล้านบาท ประกันสังคมถูกตัดไป 19,000 ล้านบาท กองทุนสวัสดิการประชารัฐที่รัฐบาลเคยโฆษณาเอาไว้ว่า จะทำให้คนจนหมดประเทศถูกตัดงบไป 20,000 ล้านบาท การเคหะแห่งชาติและกองทุนการออมแห่งชาติถูกตัดงบไปครึ่งหนึ่ง ก้อนถัดมาที่รัฐบาลเลือกตัดก็คือเงินสำหรับฟื้นฟูประเทศหลังจากวิกฤตโควิด เลือกที่จะตัดงบประมาณด้านการศึกษาในปีนี้ไป 24,000 ล้านบาท ตัดงบกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม 5,000 ล้านบาท ตัดงบกองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอี 40% ตัดงบประมาณแผนบูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก 50%
“จากการจัดงบประมาณเช่นนี้ เราจึงไม่สามารถรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณพิกลพิการฉบับนี้ได้ และเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.ก.เงินกู้ที่กำลังจะเข้าสู่สภาออกไปด้วย รวมถึงนายกฯ ต้องลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และให้รัฐบาลใหม่ออก พ.ร.บ.กู้เงิน และจัดทำงบกลางปีเพื่อชดเชยสวัสดิการ การศึกษา และงบประมาณฟื้นฟูประเทศ” น.ส.ศิริกัญญากล่าว