โผล่ทวงยุติธรรม ‘บิลลี่’ กลางรถไฟฟ้า จี้รัฐหยุดปิดปาก-อุ้มหาย ชวนจับตาสืบพยานชัยวัฒน์

เก็ท-นักกิจกรรมอิสระ แต่งนักโทษ ชูป้ายทวงยุติธรรม ‘บิลลี่’ จี้รัฐหยุดปิดปาก-อุ้มหาย ชวนจับตา 24 เม.ย.สืบพยานคดีชัยวัฒน์

ในวาระครบรอบ 9 ปี ที่ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย “ใจแผ่นดิน” ถูกบังคับให้สูญหายไปจากบริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2557 หลังเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิที่ดินทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์

โดยในปี พ.ศ.2562 มีการพบหลักฐานชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ เหล็กเส้น และถังน้ำมัน 200 ลิตร ใกล้สะพานแขวน แลนด์มาร์กสำคัญของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ก่อน DSI สืบทราบว่าชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ที่อยู่ในถังเป็นของ นายพอละจี หรือ บิลลี่ ซึ่งการหายตัวไปของบิลลี่ มีความพัวพันกับกรณีที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ได้เข้าไปรื้อเผาทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัว เมื่อ พ.ศ.2554 ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ ถูกต้อนมาอยู่ที่หมู่บ้านบางกลอยล่าง จนไม่สามารถใช้ชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมได้ เช่น การหาอยู่หากินกับป่า การทำไร่หมุนเวียน รวมไปถึงการลงมาหางานทำในเมือง โดยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายต่างๆ ทั้งนักกิจกรรม นักกฎหมาย ต่างร่วมรณรงค์และจับตาคดีอย่างต่อเนื่อง นั้น

เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 17 เมษายน ที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต นายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือ เก็ท นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ผู้ต้องหา ม.112 พร้อมด้วยเพื่อนนักกิจกรรมอิสระ กว่า 10 คน อาทิ นางเงินตรา คำแสน หรือ มานี ผู้ต้องหาคดีการเมือง ร่วมกันทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการแต่งกายด้วยชุดนักโทษ ชูป้ายภาพและข้อความ เพื่อแสดงออกถึงปัญหาในกระบวนการยุติธรรมไทย

ADVERTISMENT

ข้อความ อาทิ “9 ปีที่ถูกอุ้มหาย 9 ปีที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ จากผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน สู่ผู้ถูกบังคับสูญหาย”, “ชาวบางกลอยยังไม่ได้กลับบ้าน บิลลี่ยังไม้ได้รับความเป็นธรรม”, “เราทุกคนคือบิลลี่ เพราะการอุ้มหายโดยรัฐ สามารถเกิดขึ้นได้กับพวกเราทุกคน”, “พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานและอุ้มหาย มีผลบังคับใช้นานแล้ว แต่ตำรวจขอเลื่อนเวลาบังคับใช้ โดยอ้างว่าตนไม่พร้อม” ไปจนถึงป้ายข้อความ “คืนสิทธิการประกันตัว ปล่อยเพื่อนเรา”

นายโสภณกล่าวว่า วันนี้ครบรอบ 9 ปี การอุ้มหายบิลลี่ พอละจี เราต้องการสื่อสารนัยยะว่ามีการผลิตซ้ำความรุนแรงทางกฎหมาย คดีของบิลลี่ 9 ปีแล้ว ปีที่ 8 ถึงจะสามารถฟ้องผู้ต้องหาได้ แต่คนที่ถูกฟ้องตอนแรกถูกปลดออกจากราชการ แต่ก็กลับมาได้ใหม่อีก คือภาพสะท้อนความล่าช้าจากคดีของบิลลี่

“ปัจจุบันก็ไม่รูว่าคดีจะคืบหน้าไปถึงไหน นอกจากคดีของคุณบิลลี่แล้ว มีประชาชนมากมายที่พยายามเรียกร้องเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิที่ดินทำกิน หรือสิทธิพลเมือง แต่ก็โดนปิดปาก มีเพื่อนเราจำนวนมากที่ยังอยู่ในเรือนจำ อย่างน้อย 15 คน 2 คนเป็นเยาวชนด้วย เราต้องการสื่อสารว่า ถ้าหากเสรีภาพในการแสดงออกเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ควรที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นได้ ในวันนี้เราถือโอกาสอ้างอิงคุณบิลลี่เป็นเซ็นเตอร์ ต้องการที่จะรณรงค์ ‘ยุติการผลิตซ้ำความรุนแรงทางกฎหมาย’ ไม่ให้มีการใช้กระบวนการทางกฎหมายปิดปากประชาชนอีก” นายโสภณกล่าว

นายโสภณ ชี้ว่า เหตุการณ์ของนายพอลละจี สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมเช่นเดียวกับที่นักกิจกรรมทางการเมืองเผชิญอยู่

“อย่างคุณบิลลี่สู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกิน สู้เรื่องบางกลอย ตอนนี้แย่มาก คนบางกลอยยังไม่ได้กลับบ้าน คุณบิลลี่เองก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรม 9 ปีแล้วคดีเพิ่งจะมาสืบพยาน” นายโสภณ กล่าว

นายโสภณ ยังชวนร่วมติดตามความคืบหน้าคดีของ นายพอละจี ในวันที่ 24 เมษายนนี้ ซึ่งจะมีการสืบพยานนัดแรก คดีของ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และพวกรวม 4 คน

สำหรับกิจกรรมในวันนี้ นายโสภณเผยว่า นักกิจกรรมทุกคนปิดปากเพื่อสื่อสารด้วยความเงียบ ซึ่งตอนนี้ภาครัฐกำลังพยามปิดปากเราอยู่ โดยวันนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามการทำกิจกรรม มากกว่า 10 คน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image