‘สุภิญญา’ มึน กสทช. มองทรู-ดีแทค ธุรกิจคนละประเภท ถามใช้ตรรกะอะไร?

‘สุภิญญา’ มึน กสทช. มองทรู-ดีแทค ธุรกิจคนละประเภท ถามใช้ตรรกะอะไร?

จากกรณี เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่ประชุม กสทช.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียงรับทราบการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือทรู และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค แบบมีเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ เพื่อเยียวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

สำหรับกรรมการ กสทช. 2 เสียง ที่ลงมติเห็นชอบกรณีดังกล่าว ประกอบด้วย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. และนายต่อพงศ์ เสลานนท์ ส่วน กสทช. 2 เสียง ที่ไม่เห็นชอบ ประกอบด้วย นายศุภัช ศุภชลาศัย และนางพิรงรอง รามสูต ขณะที่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กสทช. งดออกเสียง เนื่องจากยังมีประเด็นปัญหาการตีความในแง่กฎหมาย จึงยังไม่สามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจน โดยจะขอทำบันทึกในภายหลัง

ทั้งนี้ เนื่องจากการลงมติที่ประชุมมีคะแนนเสียงเท่ากัน ดังนั้น ประธานที่ประชุมได้ใช้อำนาจตามข้อ 41 ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ.2555 ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

Advertisement

ขณะที่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) และอดีต กสทช. เปิดเผยว่า กสทช.มีอำนาจตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกํากับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2561 และประกาศเรื่องมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549

ดังนั้น กสทช.จำเป็นต้องทำหน้าที่กำกับดูแลในฐานะ (Regulator) ไม่ใช่เป็นเพียงนายทะเบียน (Registrar) เพื่อส่งเสริมการแข่งขันเสรีเป็นธรรมในกิจกรรมโทรคมนาคม และคุ้มครองผู้บริโภค ตามเจตนารมณ์และเหตุผลของการมีอยู่ของรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น มติของ กสทช. มติกรณี ดีลทรูดีแทค ก็จะส่งผลต่อกรณีการควบรวมของและอื่นๆ ในอนาคตด้วย เพราะ กสทช.ตีความว่าตนเองไม่มีอำนาจพิจารณา ทำได้แค่รับทราบ ถ้ากล้าบอกว่าอนุญาตให้ควบรวมด้วยเหตุผลที่ชัดเจน ยังดีกว่าออกมาแบบนี้ แล้วยังไม่กล้าแถลงมติอีก เพราะเป็นมติที่คลุมเครือ

Advertisement

น.ส.สุภิญญากล่าวว่า การที่เราบอกว่า กสทช.มีอำนาจ คัดค้านการควบรวมทรูดีแทค ก็คือการบอกว่ามีอำนาจคัดค้านการรวมธุรกิจของเอไอเอสและกรณีอื่นๆ ต่อไปด้วย แต่มติเมื่อวานนี้ออกมาแบบมองไม่เห็นอนาคตเลย ว่าผู้บริโภคคนไทยจะพึ่งพาใครต่อไป ดังนั้น ถ้ากรรมการตัดสิน บอกว่าตนเองมีหน้าที่ เพียงรับทราบ แล้วปล่อยผู้เล่นในตลาดปรับกติกากันเอง อยากประมูลคลื่นก็ประมูล อยากรวมก็รวม อยากเลิกก็เลิก ฯลฯ แล้ว กสทช.จะทำงานกำกับกติกาอย่างไรต่อไป

ขนาดปัจจุบันมีสามรายใหญ่ สังคมยังบอกว่า กสทช.เป็นเสือกระดาษ เวลาผู้บริโภคถูกเอาเปรียบการเหลือสองรายใหญ่ หรือ Duopoly รายเดิมที่ใหญ่สุดจะมีอำนาจเหนือตลาดมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เปรียบกับสมัยก่อนที่เรามีแค่เอไอเอส กับดีแทคการมีออเร้นจ์ขณะนั้นที่เข้ามาเป็นรายที่สามทำให้ราคาลดลงตามกลไกการแข่งขัน คนเจนเอ็กซ์จะเข้าใจดี เพราะเริ่มใช้มือถือกันตอนมีรายที่สองและสาม รายแรกคือแพงเกินจะใช้ ที่ผ่านมาประเทศไทยใช้เวลาหลายปีมาก กว่าจะมีผู้ให้บริการมือถือรายที่สอง แล้วก็รายที่สาม ที่การแข่งขันทำให้ราคาลดลง คนส่วนใหญ่ของประเทศ เข้าถึงบริการโทรคมนาคมได้มากขึ้น ตอนนี้เรากำลังย้อนยุคกลับไปกว่ายี่สิบปีก่อน

“ต้องไม่ลืมว่า ผู้ใช้มือถือส่วนใหญ่ของไทย ใช้แบบพรีเพด หรือแบบเติมเงิน จ่ายล่วงหน้า ไม่ใช่คนส่วนน้อยที่สามารถเหมาจ่ายแบบแพคเกจได้ แต่กลุ่มพรีเพดแบกรับต้นทุนมากกว่า จ่ายทีละน้อยแต่แพงกว่า ถ้ามีค่าใช่จ่ายเพิ่มขึ้นแม้เพียงหลักสิบต่อเดือน ก็คือภาระในครัวเรือน แต่ทวีคูณกำไรให้เอกชน

เธอ ระบุการแค่รับทราบ แม้บอกว่ามีเงื่อนไข แต่ในทางกฎหมายถามว่าบังคับอะไรได้แค่ไหน ถ้ามติบอกว่า เห็นชอบแบบมีเงื่อนไข ยังดูเป็นประโยชน์กว่าแค่รับทราบที่น้ำหนักเบาหวิวกว่าขนนก แล้วเป็นการลงมติซ้ำเสียงอีกในเรื่องใหญ่แบบนี้ ฝากนักกฎหมายมหาชนช่วยวิเคราะห์ต่อด้วย ทั้งนี้ กิจการโทรคมนาคม เป็นธุรกิจแข่งขันน้อยรายอยู่แล้ว (Oligopoly) เพราะลงทุนสูง รายใหม่เข้าสู่ตลาดยาก ถ้ารัฐไม่ออกกติกาในการส่งเสริม เทียบกับกิจการสายการบิน ถ้าเหลือเพียงสองราย ท่านคิดว่าราคาตั๋วจะแพงขึ้น หรือถูกลง โดยเฉพาะในช่วงที่ demand การเดินทางสูงขึ้น

“ที่อึ้งได้มากสุด คือการพยายามตีความกฎหมายว่า ทั้งทรูและดีแทคไม่ถือเป็นการควบรวมกิจการประเภทเดียวกัน ตรรกะอะไรของ กสทช.บางท่านที่ลงมติแบบนี้ ขอคำอธิบาย เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่น กสทช.ทั้งองค์กรการลงมติได้คำนึงถึงประโยชน์สาธารณะมาถ่วงดุลบ้างหรือไม่ อะไรคือเหตุผล”

สุดท้ายแล้งถามว่าแล้วหลังจากนี้ ผู้บริโภคคนไทยทำอะไรต่อได้บ้าง ถ้าในเชิงกฎหมาย สถานีต่อไปก็ต้องฝากความหวังไว้ที่ศาลปกครอง ถ้าระดับปัจเจกก็มีการย้ายค่าย แต่จะย้ายไปไหนถ้าเหลือสอง ถ้าเอ็นทีขึ้นมาเป็นทางเลือกที่ 3 ได้คงดีแต่คิดว่ารัฐบาลต้องหนุนแบบเต็มกำลังให้แข่งขันได้”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image