‘โรม’ แฉ ‘หลานบิ๊กตู่’ เอี่ยวทุนจีน เชื่อมโยง ‘ตู้ห่าว’ ซัด อย่าให้ตระกูล อยู่เหนือกระบวนการ

‘โรม’ แฉ ‘หลานบิ๊กตู่’ เอี่ยวทุนจีน พร้อมเปิดความเชื่อมโยง ‘ตู้ห่าว’ ซัด อย่าให้ตระกูล ‘จันทร์โอชา’ อยู่เหนือกระบวนการ ยิ่งเงียบ ปชช.ยิ่งสงสัย

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 มกราคม ที่ห้องพรรคก้าวไกล (ก.ก.) อาคารรัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรค ก.ก. แถลงภายหลังตั้งกระทู้สดด้วยวาจา แต่ไม่มีรัฐมนตรีมาตอบกระทู้ กรณีทุนจีนสีเทาซึ่งมีความเกี่ยวพันธุรกิจของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ตนมีความตั้งใจตั้งกระทู้ถามสดไปยังพล.อ.ประยุทธ์ เพราะตนกำลังเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ คือบุคคลที่อาจจะเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดที่กำลังดำรงอยู่ในประเทศ จึงอยากใช้พื้นที่ของสภาฯ เพื่อถามคำถาม และด้านหนึ่งก็อยากให้ความเป็นธรรมกับนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรียังมีโอกาสที่จะตอบคำถาม

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า อย่างที่ทุกคนทราบว่าหลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เดินหน้าขยายผลเรื่องนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว ซึ่งเกี่ยวพันกับบุคคลสำคัญต่างๆ หลายคน โดยเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา อัยการได้มีคำสั่งฟ้องตู้ห่าวและพวก รวม 40 คน จำนวน 9 ข้อหา ทั้งเรื่องยาเสพติด การไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานบริการ การพาคนต่างด้าวเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และการฟอกเงิน

ประเด็นที่ตนสนใจคือการฟอกเงิน ซึ่งคือการปกปิดอำพรางเงินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่ให้สืบได้ง่ายว่าต้นทางมาจากไหน หรือทำให้ดูเหมือนว่าเงินเข้ามาแบบถูกกฎหมาย ซึ่งการฟอกเงินเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในธุรกิจผิดกฎหมาย รวมถึงการค้ายาเสพติด หมายความว่าเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดก็ต้องการการฟอกเงิน โดยความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด ถูกระบุไว้เป็นความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ. 2542 ด้วย

สำหรับกรณีตู้ห่าวนั้น เพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบุกค้นผับจินหลิงแล้วพบว่าเป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาขนาดใหญ่ ก็ควรตั้งข้อสงสัยได้แล้วว่า นายตู้ห่าวมีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ด้วยการเปิดสถานบริการต่างๆ ขึ้นมาบังหน้า แต่เมื่อย้อนไปดูกระบวนการดำเนินคดีที่ผ่านมา ก็พบข้อพิรุธว่าตำรวจกลับไม่เคยแจ้งข้อหาฟอกเงินเลย ทั้งที่มีเวลาสืบสวนกว่า 1-2 เดือน ทั้งนี้ การเพิ่มข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวเพิ่งจะมีขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นมือเข้ามาร่วมสอบสวน

Advertisement

ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่นายชูวิทย์ ไปร้องเรียน ทำให้ อสส. รับคดีตู้ห่าวเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งผลกดดันมาถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต้องยื่นเรื่องเสนอต่อ อสส. ให้เข้ามารับคดีนี้ พูดง่ายๆ คือถ้าไม่มีใครคอยตามจี้ ตำรวจก็คงไม่ไปเชิญ อสส. เข้ามาร่วม และอาจไม่มีการตั้งข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวเลยก็ได้

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การที่ตำรวจไม่ตั้งข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวตั้งแต่แรก ทำให้เกิดข้อกังขา 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก อาจเป็นการเปิดช่องให้มีเวลายักย้ายถ่ายเททรัพย์สินที่จะเป็นของกลางได้ พอไปตรวจยึดทรัพย์สินของตู้หาวกลับไม่พบเงินสดแม้แต่บาทเดียว ส่วนเงินในบัญชีก็เหลือประมาณ 100,000 บาท ทำให้สังคมไม่ไว้วางใจการทำหน้าที่ของตำรวจในครั้งนี้ได้ และประการที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวพันไปถึงข้อเท็จจริงที่ว่าหลานของ พลเอกประยุทธ์ มีส่วนในธุรกิจเทาๆ ของตู้ห่าวด้วย

โดยพบว่าบริษัท เอ็มแอนด์เอ็มทรานสปอร์ตเซอร์วิส จำกัด บริหารโดยพี่ชายของภรรยาตู้ห่าว และระบุที่ตั้งบริษัทเป็นที่เดียวกับที่ตู้ห่าวแจ้งเป็นที่อยู่ตัวเอง จึงชัดเจนว่าเป็นบริษัทในเครือของตู้ห่าว บริษัทนี้ไปเช่ารถทัวร์จำนวนอย่างน้อย 33 คันจาก หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ของนายปฐมพล จันทร์โอชา ลูกชายของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ส.ว. และน้องชายของพล.อ.ประยุทธ์

Advertisement

“รถทัวร์เหล่านี้ เมื่อดูประวัติของตู้ห่าวแล้ว น่าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าจะเอาไปใช้ทำทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือใช้พาคนจีนเข้ามาในไทย เพื่อเสพยา เล่นการพนัน ทำกิจกรรมผิดกฎหมายในสถานบริการของตัวเอง ซึ่งรถทัวร์ 33 คันนี้ หจก.คอนเทมโพรารีฯ ไม่ได้เป็นเจ้าของเอง แต่ไปเช่าซื้อมาอีกทีหนึ่งผ่านบริษัทลีสซิ่ง โดยติดต่อกับผู้ผลิตรถประจำทางยี่ห้อ “Sunlong” บริษัทนี้เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษีด้วย

ย้ำว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทำให้เป็นข้อสงสัยว่าการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานใต้บังคับบัญชาของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวตั้งแต่แรก และไม่ยอมแจ้งเสียที เพราะอาจทำให้ต้องลากเอาหลาน พลเอกประยุทธ์ เข้ามาด้วย ในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจรถทัวร์ของตู้ห่าว ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของการฟอกเงินจีนสีเทาด้วยใช่หรือไม่” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในกรณีหลาน พล.อ.ประยุทธ์ ตนมีข้อสังเกต 2 ข้อคือ 1.ถ้าบริษัทเอ็มแอนด์เอ็มฯ อยากทำกิจการรถทัวร์ ทำไมไม่ไปทำสัญญาเช่าโดยตรงกับทางผู้ผลิต หรือบริษัทลีสซิ่งไปเลย เพราะเหตุใดจึงต้องไปเช่าต่อจาก หจก.คอนเทมโพรารีฯ ที่ก็ไปเช่าซื้อมาอีกทีหนึ่ง อีกทั้ง หจก.คอนเทมโพรารีฯ ทำธุรกิจประเภทรับเหมาก่อสร้าง ไม่ได้มีเหตุที่จะต้องซื้อรถทัวร์จำนวนมากตั้งแต่ต้น จึงเป็นที่สงสัยได้ว่า การเช่าซื้อหรือการให้เช่ารถทัวร์ที่้เกิดขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการฟอกเงินที่ทำโดยตู้ห่าวด้วยหรือไม่

และ 2.หลาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมีบริษัทหนึ่ง ที่มีวัตถุประสงค์ให้บริการเช่ารถโดยตรง ชื่อ บีวิช คาร์ เร้นทอล จำกัด ถือหุ้นร่วมกับเพื่อนรวม 6 คน คนละเท่าๆ กัน จัดตั้งเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 ในขณะที่เอกสารใบอนุญาตให้บริษัทเอ็มแอนด์เอ็มฯ เดินรถทัวร์ ระบุว่าวันที่ 29 เมษายน 2562 หมายความว่าการให้บริษัทเอ็มแอนด์เอ็มฯ เช่ารถทัวร์นั้นทำขึ้นในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ซึ่ง ณ ขณะนั้นบริษัทบีวิชฯ ตั้งขึ้นมาแล้ว เป็นบริษัทที่มีความเหมาะสมกว่าทุกประการในการทำสัญญาเช่าซื้อรถทัวร์และให้เช่าช่วงต่อ

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรค ก.ก.

“ทำไมจึงใช้ หจก.คอนเทมโพรารีฯ ซึ่งทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง มาเป็นผู้ดำเนินการแทน ธุรกรรมที่เกิดขึ้นดูไม่สมเหตุสมผล ไม่ตรงไปตรงมา ย่อมสร้างข้อกังขามากขึ้น เช่นกรณีนี้ เป็นไปได้ว่าผู้ร่วมหุ้นคนอื่นๆ ของบีวิชฯ อาจไม่อยากมาข้องแวะกับงานนี้ เพราะรู้ว่าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มคนสีเทาๆ หรือเมื่อไปดูประวัติของ หจก.คอนเทมโพรารีฯ ของหลาน พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นที่ถกเถียงในสังคม บางทีเป็นไปได้ว่าธุรกรรมใดๆ ที่ค่อนข้างมีลับลมคมใน อธิบายสังคมยาก ก็อาจถูกรวมไว้ที่ หจก. แห่งนี้ อย่างน้อยเพื่อความสะดวกในการทำบัญชีหรือไม่” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ดังนั้น ตนเห็นว่าหากจะเอาผิดกลุ่มจีนเทาเครือข่ายตู้ห่าวเรื่องฟอกเงินแล้ว หลานพล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าข่ายเป็นหนึ่งในผู้ที่สมควรต้องถูกสอบสวนด้วย และในเมื่อทาง อสส. ได้มีคำสั่งฟ้องตู้ห่าวและพวก รวมไปถึงข้อหาฟอกเงินแล้ว จึงต้องถามว่าได้มีการเรียกตัวหลาน พล.อ.ประยุทธ์มาสอบสวนด้วยหรือไม่ มีการสั่งฟ้องด้วยหรือไม่ หรือจะดำเนินการใดๆ กับหลานพล.อ.ประยุทธ์ในอนาคตข้างหน้าหรือไม่ ถ้าไม่มี เพราะอะไร และถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าหลานตัวเองบริสุทธิ์ ก็ช่วยออกมาตอบสังคมด้วยว่าทำไมเป็นเช่นนั้น

“เราไม่อยากเห็นและไม่อยากมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นพ่อค้ายาหรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงิน วันนี้ผมพยายามใช้กลไกของสภา เพราะหวังว่าท่านจะได้รับโอกาสชี้แจงต่อสังคม ไม่ใช่บ่นโวยวายอยู่ข้างนอกแล้วหาว่าดิสเครดิต เมื่อท่านตัดสินใจไม่มาตอบ เลือกนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่ส่งคนมาชี้แจงแทน เป็นเรื่องน่าผิดหวัง และอาจทำให้ประชาชนยิ่งสงสัย จึงขอเรียกร้องอย่าให้วงศ์ตระกูลจันทร์โอชาเป็นเครื่องมืออยู่เหนือกระบวนการยุติธรรม” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ผบ.ตร.เคยปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีจินหลิง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เลขาธิการ ปปส.เคยให้สัมภาษณ์ว่า หากมีชื่อปรากฏอย่างน้อยต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนเป็นขั้นต่ำที่สุด ตนยินดีรับฟัง แต่ไม่ใช่หายกันไปเงียบๆ ไม่เชื่อว่าถ้าเป็นลูกหลานชาวบ้านที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ แต่เพราะคือ จันทร์โอชา ใช่หรือไม่ เป็นเหตุให้ไม่มีการสอบสวนเรื่องนี้ ส่วนจะเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ต้องพิจารณาก่อน เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ทำหน้าที่ด้วยความสามารถอย่างเต็มที่ แต่ตนมีข้อกังขาจริงๆ

“ข้อสรุปของผมหลังจากการเป็น ส.ส.สมัยแรก คือทุนจีนสีเทาทั้งหลายไม่สามารถอยู่ได้ หากไม่มีผู้มีอำนาจ คนที่เข้ามาจะสามารถทำเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไรหากไม่มีคนใหญ่คนโตช่วย ในเมื่อเชื่อมโยงไปถึงหลานพล.อ.ประยุทธ์ ประมูลงานได้เยอะมากทำธุรกิจให้กับทหารได้จึงอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าจะมีความเกี่ยวพันกัน กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากตู้ห่าวต้องการฟอกเงิน หรือไม่ก็หลานพล.อ.ประยุทธ์ต้องการฟอกเงิน ถ้าเป็นอย่างหลังจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะต้องหามีกิตติศัพท์ในการช่วยบริการฟอกเงินให้กับคนใหญ่คนโต” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่า กระบวนการสอบสวนเป็นไปได้ยาก การขยายผลที่เหนือไปกว่ากลไกสภา สามารถทำได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เบื้องต้นจำเป็นต้องยื่นหนังสือ แต่กำลังจะหาว่าจะยื่นออกใครดี จะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยตรงเองหรือไม่ จะมีการแจ้งให้ทราบแต่ยืนยันว่าไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน ซึ่งต้องขอขอบคุณพลเมืองดีอย่างนายชูวิทย์ ข้อมูลที่ได้รับมาสามารถทำให้ขยายผลประโยชน์ต่างๆ ได้มาก

รอบนี้ไม่ได้มีแค่จีนเทา แต่มีไทยเทาอยู่ในนั้นด้วย ทั้งนี้ ตอนนี้มีเรื่องงามไส้รายวันสาเหตุมาจากพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นนายกฯ มาแล้ว 8 ปีผลผลิตในวงการตำรวจวันนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปี เพราะนายกรัฐมนตรีมีอำนาจกำกับดูแลตำรวจ

“หากยังมีความฝันที่อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่ในช่วงเวลานี้ที่ตำรวจกำลังเละเทะ มีการรีดไถเก็บส่วย ท่านกลับไม่ทำอะไรเลย สุดท้ายไม่ใช่ทำลายแค่วงการตำรวจและวงการยุติธรรม แต่ขยายผลไปถึงการท่องเที่ยวภาพลักษณ์และเศรษฐกิจต่างๆ ของไทย” นายรังสิมันต์ กล่าว

ข่าวน่าสนใจอื่น:

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image