เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ชาตินิยมแบบใด | คำ ผกา

13.06.2025

คำ ผกา

ชาตินิยมแบบใด

ปัญหาความขลุกขลักของชายแดนไทยและเขมรสำหรับฉัน ไม่ใช่ปัญหาเรื่องชายแดนด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นปัญหาว่าด้วยภาวะเหลื่อมกันทางเวลาของการยังไม่กลายเป็นรัฐประชาชาติที่เป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยและกัมพูชา

ภาวะเหลื่อมล้ำทางเวลาของการยังไม่กลายเป็นรัฐประชาชาติที่เป็นประชาธิปไตยคืออิหยังวะ?

รัฐประชาชาติ คือ ประเทศที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใครอีกต่อไปแล้ว มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ประกาศอำนาจอธิปไตยตามการปักปันเขตแดนที่ตกลงร่วมกันหลังประกาศเอกราช และมีประชาชนเป็น “เจ้าของชาติ” สำแดงออกด้วยการเป็นเจ้าของอำนาจทางการเมืองผ่านระบบเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย

คนไทยและสังคมไทยโดยทั่วไปอาจจะไม่คุ้นชินกับนิยามว่าด้วยรัฐประชาชาติเช่นนี้ เพราะเราไม่คุ้นเคยกับการเรียนประวัติศาสตร์ของชาติที่มีเส้นเรื่องเกาะเกี่ยวอยู่กับการตกเป็นอาณานิคมและการต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช

และก่อนหรือหลังจะได้เอกราชนั้นมักจะมีเรื่องความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกันในการปักปันเขตแดนอยู่ด้วย

ทว่า เส้นเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่เราคุ้นเคยคือ การต่อสู้กับพม่าเอย เขมรเอย

อีกทั้งเป็นเส้นเรื่องทางประวัติศาสตร์ของความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรหนึ่งสู่อาณาจักรหนึ่ง เช่น จากสุโขทัย มาอยุธยา มาธนบุรี รัตนโกสินทร์ จนเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน

เราจึงฝังหัวตัวเองไว้ว่าประเทศไทยในปัจจุบันก็คือวิวัฒนาการมาจากอดีตเป็นเส้นตรงมาเรื่อยๆ

และเหตุแห่งความล่มสลายของอาณาจักรเกิดจากเจ้าเมืองผู้นำไม่เก่ง ไม่มีศีลธรรม เจ้าสำราญ อ่อนแอ เลยพ่ายแพ้แก่ศัตรู เช่น พระเอกาทศรถที่สั่งห้ามยิงปืนเดี๋ยวนางสนมตกใจ เราเลยแพ้พม่า

หลังจากนั้นก็ฟื้นอาณาจักรขึ้นมาใหม่ได้เพราะผู้นำที่เก่ง ฉลาด เสียสละ มีทศพิธราชธรรม และบูรพกษัตริย์ที่เก่งที่สุดของเราจะได้รับยกย่องเป็นมหาราช

คนไทยจึงรู้และเรียนประวัติศาสตร์บนวาทกรรม “เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป”

ประมาณว่า บรรพบุรุษ เสียสละ เสียเลือดเสียเนื้อเสียชีวิตปกป้องแผ่นดินไว้ให้เราที่เป็นลูกหลาน

ลูกหลานอย่างเราต้อง “อย่าให้ใครรุกด้าวมาทำลาย”

ลูกหลานคนไหนไม่ปกป้องแผ่นดินก็ถือเป็นคนชั่ว คนเนรคุณ คนขายชาติ คนอกตัญญู

เหล่านี้คือ “เส้นเรื่องทางประวัติศาสตร์” ที่เราจะยังไม่มาเถียงกันว่าจริงหรือไม่จริง

แต่ประวัติศาสตร์ว่าด้วยกำเนิด “ชาติไทย” ไม่ได้อยู่บนเส้นเรื่องนั้นแม้แต่น้อย

ไม่เพียงแต่ชาติไทย ทุกชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ล้วนมีกำเนิดแห่ง “ชาติ” บนเส้นเรื่องว่าด้วยการต่อสู้ของสามัญชนเพื่อจะได้เป็น “เจ้าของชาติและมีอำนาจอธิปไตยทั้งเหนือตนเองและเหนือดินแดนที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่”

กล่าวอย่างหยาบ (ที่ไม่ได้แปลว่าหยาบคาย แต่หมายถึงคร่าวๆ ไม่ละเอียด) ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศ เพิ่งกลายเป็น “รัฐประชาชาติ” หรือกลายเป็นชาติ เป็นประเทศ ในแบบที่เรารู้จักกันในนามของประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย ประเทศ ลาว พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ฯลฯ ในราวทศวรรษที่ 1930s-1960s

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? ไม่จริ๊งงงงงง ฉันคนไทยต้องสืบสาแหรกมาจากสุโขทัย อยุธยาสิ!

อันนี้ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่า ปัจจุบันมีคนไทยคนไทยสามารถสืบสาแหรกตัวเองไปได้ไกลถึงสุโขทัยบ้าง

แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือ “ประเทศไทย” ในแบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้เป็นประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี 2482 ซึ่งเป็นปีที่สถาปนาให้ “วันชาติ” ของไทยคือ วันที่ 24 มิถุนายน และตั้งชื่อประเทศว่า Thailand แทน Siam

อ่านแล้วยิ่งงงใช่ไหม? มันก็แค่เปลี่ยนชื่อ แต่คนไทย ประเทศไทย ชาติไทย อยู่มาก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้วนะ โรงพยาบาลเอย โรงเรียนเอย ปู่ ย่า ตา ทวด ของฉันก็อยู่มาก่อนจะเปลี่ยนชื่อประเทศ แม่พลอยสี่แผ่นดินก็มีแล้ว ปี 2482 อีพวกคณะราษฎรมันสะเหล่อเปลี่ยนชื่อประเทศเราจากสยามเป็นไทย

ก็คงต้องอธิบายกันต่อว่า ใช่แล้ว เรามีสยาม เรามีบางกอก มีกรุงเทพฯ มีแม่พลอยสี่แผ่นดิน มีการค้าขาย มีประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์สองร้อยปี

แต่นั่นไม่ใช่ประเทศไทยและยังไม่มี “คนไทย”

ในนิยามของการเป็นพลเมืองของรัฐประชาชาติ ณ เวลานั้นมีอาณาจักรต่างๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง กระจายตัวกันไป และบริหารโดย “เจ้าเมือง”

ระบบเศรษฐกิจและแรงงานเป็นระบบมูลนาย เจ้าเมืองใช้แรงงานในระบบมูลนาย ที่มีทั้งไพร่ ทาส แรงงานคนต่างชาติที่ถือเป็นแรงงานเสรี ทำงาน เสียภาษี หรือเป็นพ่อค้า จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้เจ้าเมืองแลกกับสิทธิในการใช้ที่ดิน หรือใบอนุญาตการค้า

ส่วนเจ้าเมืองต่างๆ ก็หารายได้ด้วยการลงมือทำการค้าด้วยตัวเอง แล้วเอาสินค้ามาจากไหน ก็เรียกเก็บผ่านระบบมูลนาย หากไม่เอาแรงงานมาทำงานแลกก็ต้องจ่ายเป็นสิ่งของ เช่น ของป่า เครื่องเทศ ไม้กฤษณา ฯลฯ

เจ้าเมืองน้อยใหญ่ อาจจะเป็นมิตรกันผ่านการแต่งงาน บ้างก็ทำสงครามต่อสู้กัน บางเจ้าเมืองก็เอาลูกขุนนางมาเป็นเมียให้หมดเพื่อความมั่นคงทางธุรกิจ มั่นใจว่า ภาษี แรงงาน ของป่า ส่วย จะไม่รั่วไหล

พูดคร่าวๆ ได้อีกว่าในระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบนี้ ไม่มีใครไปทำแผนที่ดูว่าเขตแดนอำนาจของฉันอยู่ที่เทือกเขาไหน สันปันน้ำไหน (เพราะถึงอยากทำก็ไม่มีความรู้เรื่องการสำรวจทางภูมิศาสตร์และแผนที่)

ไม่เพียงเท่านั้น ความชอบธรรมของการเป็นเจ้าเมืองเกิดจากการเป็น “หน่อพระอินทร์” คือเกิดมาเป็น ได้กลายมาเป็น

เพราะฉะนั้น ภูมิศาสตร์หรือจักรวาลวิทยาของการบริหารราชการแผ่นดินคือการเชื่อมโยงเจ้าเมืองและเมืองของตนเองกับเขาพระสุเมรุ เพราะนั่นคือที่มาของอำนาจทางการเมือง

ดังนั้น ผังของวัด วัง และเมือง จึงเป็นแผนผัง แผนที่ของการเชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งในฐานะศูนย์กลางจักรวาลคือเจ้าเมือง

สถานที่อยู่อาศัยหรือวังจึงจำลองเอาลำดับชั้นนั่นลงมาด้วย และยืนยันด้วยอดฉัตรที่สูง คือที่สถิตเจ้าผู้มีอำนาจสูงสุด

แล้ว “คนสยาม” ล่ะ? ณ เวลานั้นเรายังไม่ถูกนับเป็น “คน” แต่ถูกนับเป็น “ข้า” หรือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับ “มูลนาย” ของเรา อันภาษาอังกฤษเรียกว่า subject

เราจึงเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ถูกส่งไปเป็นบรรณาการได้ ถูกขายได้ ถูกซื้อได้

คำว่า “ข้า” จึงยังตกค้างอยู่บ้างในภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ เช่น “ข้าราษฎร”

เมื่อระบบบริหารราชการแผ่นดินอิงกับระบบมูลนาย สิ่งที่เรียกว่า “เขตแดน” จึงไม่มี ไม่สำคัญ ไม่อยู่ในการรับรู้ เพราะเขตแดนของเราเป็นเขตแดน “ทิพย์” คือเป็นเขตของนทีสีทันดร แผ่ไปได้ตามบารมี ไม่ใช่ตามแผนที่และกล้องส่องทางไกล

ซึ่งทุกอาณาจักรในอุษาคเนย์ก็เป็นแบบนี้

ส่วน “ข้า” ที่ขึ้นกับระบบมูลนายก็มีทุก “ชาติพันธุ์” ลาว เขมร ขมุ มอญ เงี้ยว พวน ไทดำ ฯลฯ ซึ่งชื่อชาติพันธุ์เหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ในเชิงชีววิทยา แต่เรียกตามภาษาที่พูด เสื้อผ้าที่ใส่ เช่น ไทยทรงดำ การสัก หรือเรียกตามชื่อแม่น้ำที่คนเหล่านั้นตั้งรกราก

ดังนั้น จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่า คนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยแลนด์ เพราะเราต่างกระจัดกระจาย ไม่รู้จักกัน และยังไม่ได้เป็นคนเต็มคนด้วยซ้ำ บ้างเป็นทาสที่ถูกซื้อมาขายไปเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ

ส่วนบรรพบุรุษของ “ชนชั้นกลางไทย” ในปัจจุบันก็เริ่มทยอยโล้สำเภาเข้ามาตั้งรกรากตามจุดต่างๆ แล้ว และเป็นอิสรชน เพราะไม่ต้องขึ้นอยู่กับมูลนาย

คนเหล่านี้จึงเป็นแรงงาน กรรมกร กุลี เป็นพ่อค้า

ส่วนระดับเจ้าสัวนั้น ไม่ได้เริ่มต้นจากกุลี ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจบอกเราว่าเครือข่ายเจ้าสัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีอยู่อย่างกว้างขวาง และเป็นกลุ่มคน cosmopolitan มาตั้งแต่แรก

ในระหว่างนี้เหล่าเจ้าเมืองก็ค้าขายกับตะวันตก ค้าขายพ่อค้าไปทั่ว ดังนั้น คำว่า “เจ้าเมือง” โดยอาชีพแล้วเขาเป็นพ่อค้า เป็นตระกูลทำการค้านั่นแหละ ในยุคที่ตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ดัตช์ ฝรั่งเศส มาล่าอาณานิคม มันจึงไม่ใช่การ “คุกคาม” ที่ตัว “เจ้าเมือง” แต่เป็นเรื่อง “ดีล” การค้าของ “นายหัว” ที่เมืองแม่ส่งมาทำการค้ากับเจ้าเมืองทั้งหลายในดินแดนแถบนี้

ถ้าดูกรณีอินเดียจะเห็นชัดมากว่า ในยุคอาณานิคม Raja ของแคว้นต่างๆ ล้วนร่ำรวย

เจ้าอินทวิชยานนท์ที่เป็นบิดาของเจ้าดารารัศมีก็เป็นบุรุษที่มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งจากการทำการค้ากับอังกฤษ

เพราะฉะนั้น เวลาที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันระหว่างรัฐพื้นเมืองกับอาณานิคม มันไม่ใช่การถูกคุกคามอำนาจอธิปไตยแบบที่เราเข้าใจกันในปัจจุบัน

แต่เป็นเรื่องดีลการค้าไม่ลงตัว ใช้แผนที่กันคนละฉบับ

นิยามคำว่า ความยุติธรรมไม่ตรงกัน จึงทำให้การทำสัญญาการค้ามีปัญหา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออำนาจของเจ้าอาณานิคมหลาย “เจ้า” มาชนกัน

อังกฤษก็อยากรู้ว่าอำนาจของตนเองไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

ฝรั่งเศสก็พยายามถามหาความชัดเจนจากเจ้าเมืองทั้งหลายว่าดินแดนที่เคลมว่าตนเองเป็นเจ้าของนั้นมันคือตรงไหนบ้าง เพราะหากไม่ชัดเจนก็ทำการค้าต่อกันลำบาก จะแบ่งผลประโยชน์กันยังไง

พออังกฤษถาม ฝรั่งเศสถาม “เจ้าเมือง” แถมนี้ก็เลิ่กลั่กกันหมด เพราะไม่รู้มาก่อนว่ามันต้องมีด้วยหรือ?

เพราะทางเราไล่ผลประโยชน์เอาจากมูลนายที่ขึ้นอยู่กับเรา มูลนายไหนกบฏ แข็งข้อก็รบกันที

นี่คือเหตุผลที่ในสมัยรัชกาลที่ห้าต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเข้ามารับราชการเป็นจำนวนมาก

และนี่คือเหตุผลหลักที่ต้องเลิกทาส ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่การเลิกทาส แต่เป็นการยกเลิกระบบ administration จากระบบมูลนายมาเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สร้างระบบเทศาภิบาลขึ้นมาแทนที่ระบบมูลนายเดิม และเริ่มทำแผนที่ โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งจากอังกฤษ ฝรั่งเศส และต้องมีการสังคายนาระบบกฎหมายกันครั้งใหญ่ มีทั้งนักวิชาการจากฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น มาร่วมงานกับราชสำนักสยาม เพื่อ “ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศ” ให้ทำมาค้าขายกับชาติตะวันตกต่อไปได้ ทำสัญญาทางแพ่ง พาณิชย์ในระบบสากลโลก ซึ่งก็ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะลุล่วง

บางเรื่องมาสำเร็จเมื่อหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยซ้ำ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หมวดครอบครัว

จุดนี้แหละที่เราเริ่มทำแผนที่และ “ปักปันเขตแดน”

แต่การปักปันเขตแดนนี้ไม่ได้นำไปสู่การสร้าง “ชาติไทย” เพราะยังไม่มีคอนเส็ปต์เรื่องชาติ ดังนั้น จะเห็นว่าเราไม่เคยมีธงชาติจนล่วงมาถึงรัชกาลที่หก ที่เมื่อไปร่วมพิธีที่มีประเทศอื่น ชาติอื่น ก็จะมีคนมาถามว่า ธงสยามล่ะ?

และเหตุที่ยังไม่มี “ชาติ” เพราะยังไม่มีแนวคิดเรื่อง “พลเมือง” ของชาติ แม้จะปักปันเขตแดน มีแผนที่ก็ยังไม่มีการระบุว่าใครถือสัญชาติสยาม นอกจากจะนิยามว่าเป็น “ข้าฯ” ของขอบขัณฑสีมานี้

ดังนั้น นิยามของการเป็น “คนไทย” ใต้ร่มธงไทยยังไม่เกิดขึ้น และย่อมเต็มไปด้วยความหลากหลาย

มณฑลพายัพบ้านเชียงใหม่ของฉันนั้นจึงมีทั้งคนม่านคนเมืองคนเงี้ยวคนฝรั่งคนดอยเผ่าต่างๆ คนฮ่อ อะไรอยู่ปะปนกันไปหมด และเดินทางค้าขาย แต่งงานสร้างครอบครัวข้ามเผ่าข้ามแดนกันเป็นปกติ แถมยังใช้เงินรูปีอีกด้วย

นั่นแปลว่าในเขตแดนของสยามตามแผนที่ก็มีคนสัญชาติอังกฤษ ฝรั่งเศส เชื้อชาติกะเหรี่ยง เงี้ยว อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด

นี่คือการยืนยันว่าแม้ในยุคเทศาภิบาลก็ยังไม่มี “คนไทย” แต่มีสยามที่เป็นแผนที่ เป็นตัวเป็นตน เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว พูดง่ายๆ ว่ามี “ร่าง” หรือ body แล้ว

“ชาติ” มาตอนไหน? รัชกาลที่หกพยายามจะสร้างชาติในแบบของพระองค์ท่าน และนับว่าสร้างได้เป็นชิ้นเป็นอันจับต้องได้ อย่างน้อยสยามก็ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในฐานะประเทศหนึ่ง ชาติหนึ่ง เหมือนกัน มีธงชาติด้วย

แต่เราไม่รู้ว่า ณ เวลานั้นสำนึกของความเป็นคนสยามครอบคลุมไปกว้างขวางแค่ไหน

“ชาติไทย” มาเมื่อคณะราษฎรรวมกลุ่มกันประกาศเอกราชจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม คล้ายคลึงกับขบวนการเรียกร้องเอกราชที่เกิดขึ้นในที่อื่นๆ เช่น โฮเซ่ ริซาล ของฟิลิปปินส์ที่รวบรวมกลุ่มคนหนุ่มปัญญาชนเรียกร้องเอกราชให้ฟิลิปปินส์ เมื่อทำสำเร็จ พวกเขาก็ประกาศอิสรภาพ และประกาศให้ “ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจ”

ด้วยเหตุนี้คำประกาศคณะราษฎรฉบับที่หนึ่งจึงสำคัญเหมือนอเมริกามีวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวัน independent day

ซึ่ง “ชาติ” ที่เกิดใหม่ สร้างใหม่นี้ปัญญาชนสมัยนั้นก็บอกว่ายังเตาะแตะไม่มั่นคง จับไม่มั่น คั้นไม่ตาย หลัง 2475 โจทย์ของรัฐบาลคณะราษฎรคือทำอย่างไรผู้คนในอาณาจักรสยาม (ตามแผนที่) จะตระหนักและเห็นภาพเดียวกันว่าเราต่างเป็นคนไทยเหมือนกัน มีเป้าหมายร่วมกัน มีความฝันร่วมกัน มีสำนึกของการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ “ประเทศชาติ” ร่วมกัน รักประเทศไทย รักชาติไทยไปด้วยกัน

และทำยังไงจะให้คนไทยรักกันด้วยเหตุผลว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาเราไม่รู้จักกันเลย ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันสักนิด

ตรงนี้แหละที่มันสนุกในกรณีของการศึกษาประวัติศาสตร์ชาตินิยมของไทย เพราะ

หนึ่ง ชนชั้นนำสยามปักปันเขตแดนทำแผนที่ก่อนเกิดสำนึกเรื่องชาติในหมู่ราษฎร

สอง คณะราษฎรเห็นว่าประชาชนควรเป็นเจ้าของประเทศ ประเทศไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง

สาม คณะราษฎรเลยประกาศเอกราชด้วยการทำการปฏิวัติสยาม 2475 ในขณะที่ยังไม่มีสำนึกเรื่องชาติแพร่หลายมากพอในหมู่ราษฎร (ที่ยังมีการถกเถียง เช่น งานของนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ บอกว่ามีสำนึกเรื่องชาติแพร่หลายแล้วเพราะมีการเสพสื่อหนังสือพิมพ์ วรรณกรรม อย่างกว้างขวาง ซึ่งตีพิมพ์เรื่องชาติ ประชาชน ประชาธิปไตย การปกครรองระบอบรัฐสภา ฯลฯ)

สี่ คณะราษฎรต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนตระหนักในความหมายของ “ชาติ” และสำนึกของความเป็นไทยร่วมกัน จากที่ไม่เคยมีอยู่สักเท่าไหร่ และมันช่างเป็นเรื่องใหม่เหลือเกิน

จากข้อสี่นี้เอง ที่ทำให้ จอมพล ป. มีโครงการทางวัฒนธรรมเยอะมาก ทั้งการจัดงานวันชาติ การจัดรายการวิทยุ การปฏิรูปภาษาไทย การขยายโรงเรียน การศึกษาภาคบังคับ งานรัฐพิธีที่ประชาชนมีส่วนร่วม งานรัฐธรรมนูญ การกำหนดมาตรฐานของภาษาที่ใช้ การทำละครรักชาติโดยหลวงวิจิตรวาทการ การกำหนดชุดประจำชาติ ฯลฯ

และหนึ่งในหลายๆ โครงการสร้างชาติของจอมพล ป. คือการใช้เรื่อง “ดินแดน” นั่นคือการทำให้คนไทยภูมิใจที่เราจะไปรบเอาดินแดนที่เคยเป็นของเรากลับคืนมา เช่น เชียงตุง พระตะบอง ศรีโสภณ หรือรัฐปะลิศ กลันตัน ตรังกานู

ชัยชนะในสงครามอินโดจีน ทำให้เราได้พระตะบองมาเป็นอีกจังหวัดหนึ่งของไทย จนสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และกำหนดหลักกิโลเมตรที่ 1 ของประเทศไทย ณ ตรงจุดนั้นเป็นเรื่องการสร้าง “ชาติ” ที่สำคัญมากที่สุด

แต่คนไทยไม่ค่อยพูดถึง เพราะมัวแต่คิดว่าชาติเราเริ่มสุโขทัย

ดังนั้น การสร้างชาติ และสำนึกรักชาติในสมัยคณะราษฎรจึงเป็น “ชาตินิยม” ที่ถือเอาบูรณภาพของดินแดนมาเป็นเครื่องมือในการสร้างสำนึกแห่งความเป็นชาติร่วมกันหรือเป็นชุมชนจินตกรรมของไทยที่เป็นผลผลิตของคณะราษฎร

และหากเรารักชาติจริง เราทุกคนควรรู้จักและไปแห่แหนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิให้มากกว่านี้ เพราะนี่คือการรักชาติที่มีเรื่อง “ดินแดน” เป็นเครื่องมือในการปลุกเร้าสำนึกแห่งความรักชาติที่มากกว่าอนุสาวรีย์อื่นๆ

ชาติไทย พลเมืองไทยที่เป็นมรดกของคณะราษฎรคือ เอกราช อำนาจอธิปไตย การไปเอาดินแดนที่ (คิดว่า) เสียไปคืนมา ประชาธิปไตยระบอบรัฐสภา การเลือกตั้ง ผัวเดียวเมียเดียว ให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดสมรสหมู่เพื่อสนับสนุนให้คนมีลูก การพัฒนาเศรษฐกิจโดยการพัฒนาอุตสาหกรรมให้ประเทศไทยพึ่งตนเองได้ การพัฒนาเกษตรกรรมให้เป็นอุตสาหกรรมเกษตร (ตั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) พลเมืองต้องกินอาหารครบห้าหมู่ ออกกำลังกาย ผู้ชายต้องใส่สูท ผู้หญิงใส่หมวก สวมกระโปรง สร้างวัดชื่อประชาธิปไตย ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระศรีมหาธาตุ ฯลฯ

นี่คือชาตินิยมของจอมพล ป. ที่เรื่องดินแดนเป็นส่วนหนึ่งของอีกหลายๆ ส่วนเพื่อสร้างชาติไทย

ชาติไทย และชาตินิยมไทยถูกนิยามใหม่อีกหลังในช่วงสงครามเย็น และเป็นผลผลิตของอเมริกาเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ “ไทย” จึงถูกนิยามใหม่ว่าหมายถึงชนบทอันอบอุ่น เรียบง่าย งดงาม มีพุทธศาสนาค้ำจุน ให้ความสำคัญกับความเจริญทางใจเหนือความเจริญทางวัตถุ ภาพบ้านชนบท พระอาทิตย์ ท้องนาสีทอง มานี มานะ

และความสำคัญของสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งตกผลึกเป็นอัตลักษณ์ไทยที่มั่นคงที่สุดมาถึงทุกวันนี้

ความเอิงเอยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือชาตินิยมไทยปัจจุบันประกอบไปด้วย

หนึ่ง คนไทยปัจจุบันนึกว่าตัวเองเรียงตัวทอดยาวเป็นเส้นตรงลงมาจากสุโขทัย

สอง คนไทยไม่สามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ไทยกับลัทธิอาณานิคม เพราะมัวแต่ท่องว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นใครโดยลืมว่า “เราน่ะมีใครบ้าง?” เพราะล้านนา หรือแม้แต่น่าน ก็เป็นอาณานิคมของทั้งอังกฤษและสยามมาก่อน

สาม คนไทยไม่เข้าใจว่า ชาตินิยม กับ ประชาธิปไตย เป็นเรื่องเดียวกัน กลุ่มคนหัวก้าวหน้ามักทำให้ไขว้เขวเอาชาตินิยมไปปนกับลัทธิคลั่งชาติ หรือฟาสซิสต์ ทำให้คำว่าชาตินิยมมีความในทางลบ

สี่ คนไทยไม่ยอมเข้าใจว่า ความพร่าเลือนทางพรมแดนที่เป็นมรดกตกค้างของการเมือง เศรษฐกิจยุคอาณานิคม กลายเป็น “อุปกรณ์” ทางการเมืองใช้ทำลายคู่แข่งทางการเมืองบน “ไทยรานใครรุกด้าวแดนไทย ไทยจะไม่ถอยจนก้าวเดียว” ซึ่ง ณ ตอนนี้กัมพูชาก็ปลุกเร้าประชาชนด้วยวาทกรรมคล้ายๆ กัน

เมื่อไม่เข้าใจทั้ง 4 ประการนี้ จึงมีภาวะฮึดฮัด ประณามรัฐบาลว่าไม่ปกป้องประเทศ

ทั้งๆ ที่สำนึกนี้เพิ่งถูกสร้างมาในฐานะ “สิ่งสมมุติ”

พากันออกมาแสดงละครคุณธรรมแบบรัชดาลัยเล่นใหญ่ใครรักชาติกว่ากันในโซเชียลมีเดีย เสพสมกับยอดเอนเกจเมนต์

ยํ้าอีกครั้งว่ารัฐบาลและกองทัพทำถูกแล้วที่ต้องอยู่ในบทบาทของผู้รักษาสันติภาพ เพราะความวุ่นวายต่างๆ เกิดจากปัญหาภายในการเมืองพูชาที่เราควรวางอุเบกขา

ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่าชาตินิยมอย่างถูกต้องกันเถอะว่า ชาติ แปลว่า ประชาชน ประเทศ แปลว่า ดินแดนที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นอิสระ

ชาตินิยม ไม่ใช่การปกป้องดินแดน แต่หมายถึงการปกป้อง ชีวิต และศักดิ์ศรีของประชาชน

สำหรับฉัน ศักดิ์ศรีของประเทศไทย คนไทย ไม่ใช่การสู้รบ แต่คือการสร้างสันติภาพ อดทนต่อการยั่วยุ อดทนต่อการถูกหลอกล่อไปติดกับดักพาประเทศไปสู่สงครามอันรังแต่จะนำมาซึ่งความสูญเสียของทุกฝ่าย

รัฐบาลและกองทัพไทยทำถูกแล้วที่ตรึงสภาวะรักษาสันติภาพเอาไว้ เพราะตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง

การรักชาติเป็นเรื่องที่ดี แต่การคลั่งชาติคลั่งทุกตารางนิ้วของดินแดนเป็นอุปทาน

น่าชื่นชมรัฐบาลไทยและกองทัพไทยที่ไม่ฉวยโอกาสนี้ปลุกกระแสคลั่งชาติหาคะแนนนิยม

ตรงกันข้ามรัฐบาลยอมโดนด่าว่ามีท่าทีที่อ่อนเกินไป ซึ่งรัฐบาลต้องใจแข็งไม่ทำอะไรรุนแรงตามเสียงยั่วยุของประชาชนที่บ้างก็ไร้เดียงสา บ้างก็รู้ทุกอย่างแต่จงใจขุดหลุมพรางดักให้รัฐบาลทำผิด

นานๆ ครั้งนะที่เราจะมีรัฐบาลที่ไม่หากินกับลัทธิคลั่งชาติแบบโง่ พยายามแก้ไขปัญหาบนเวทีการเจรจา อดทน มีวุฒิภาวะ และรัฐบาลนั้นนำโดยพรรคเพื่อไทย

ตรงกันข้าม วันนี้เราดันมีฝ่ายค้าน progressive ที่ชอบเชียร์ให้ใช้มาตรการเด็ดขาด รุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้านในนามของการแก้ปัญหาแบบสันติ

และดูเหมือนจะไม่มีความพยายามจะสร้างบรรยากาศให้โน้มนำไปทางสันติหรือพยายามอธิบาย อย่างน้อยโหวตเตอร์ของตัวเองเข้าใจว่าสันติภาพสำคัญอย่างไร

เกลียดรัฐบาลแค่ไหนก็ไม่ควรใช้โอกาสนี้ใส่ไฟรัฐบาลและดิสเครดิตการ “สงวนท่าที” ของรัฐบาลว่าเท่ากับการ “ไม่ทำอะไร”

หรือนี่จะเป็น “ชาตินิยมก้าวหน้า” แบบที่การเมืองใหม่ถนัด



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

เริ่มแล้ว! “Thai–Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย–จีน” เทศกาลประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งปี
ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ