ประธาน ส.อ.ท. ยกเคสเกาหลีใต้ แนะรบ.ใหม่ปลดพันธนาการกม. ลั่นศก.พุ่งแบบจรวดแน่! ไม่ใช่แค่เทคออฟ
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน เวลา ที่ห้องอินฟินิตี้ 1-2 โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ กรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์มติชนจัดงานสัมมนา “Thailand : Take off” โดย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และในฐานะประธานร่วมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวในหัวข้อ “อุตสาหกรรมไทย ติดปีก โกอินเตอร์”
ในตอนหนึ่ง นายเกรียงไกร กล่าวถึงการประชุมร่วมกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่า ในวันนั้นเป็นการประชุมแบบปิด ก็ได้มีการสะท้อนไปแบบตรงไปตรงมา ซึ่งบรรยากาศการพูดคุยในครั้งนั้น ตนได้นำ 5 รองประธานของ ส.อ.ท.ที่ได้มาพูดถึงการยกขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ซึ่งเราจะมีการคุยใน 5 หัวข้อ โดยมอบให้รองประธานแต่ละท่านขึ้นมาพูดถึงปัญหาและแนวทางในการเสนอแนะ โดยให้แต่ละทีมพูดคนละ 10 นาที ทางนายพิธา ก็จะตอบ 10 นาที จนครบทั้ง 5 คน ซึ่งในวันนั้นเราได้ฝากไว้ 5 เรื่อง คือ 1.เรื่องราคาพลังาน โดยเฉพาะค่าไฟ ในหลายเดือนที่ผ่านมา ส.อ.ท. และกกร. ได้พูดถึงเรื่องค่าไฟ เนื่องจากเป็นตัวฉุดรั้งความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งเรื่องนี้ทาง ส.อ.ท. ได้มอบหมายให้ นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. เป็นหัวหน้าทีมในการขับเคลื่อนเรื่องนี้
2.เรื่องแรงงาน สะท้อนถึงเรื่องการขาดแคลนแรงงานการอัพสกิล รีสกิล เพราะวันนี้ปัญหาของเรา คือการที่เราจะก้าวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ฟังดูดี แต่บุคคลากรไม่มี ซึ่งเรื่องนี้เป็นคีร์ที่สำคัญที่ต่างชาติเริ่มเข้ามาคุยกับเราแล้ว โดยถามคำเดียวว่าประเทศไทยมีแรงงานในการป้อนสู่อุตสาหกรรมใหม่หรือไม่ ซึ่งคำตอบคือเราไม่มีคน เพราะฉะนั้นแรงงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ฉะนั้น เราจะแก้ไขปัญหาระยะยาวได้อย่างไร ส.อ.ท.จึงได้มีการเสนอในเรื่อง Pay by Skills จะได้ตัดปัยหาเรื่องการพูดถึงค่าแรงขั้นต่ำ ตัดปัญหาโลกแตกของประเทศไทยมานาน และได้มีการพูดถึงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อคน ถ้าขั้นแบบนั้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เพราะฉะนั้นถ้าใส่ยาแรงแบบนี้เลย คือพัง
ทั้งนี้ จากเหตุผลของพรรคก้าวไกล ว่าปัจจุบันค่าครองชีพสูงมาก แต่รายได้ต่ำ รวมถึงมีหนี้สินภาคครัวเรือนก็มีหนี้สินแตะ 90% ซึ่งสูงที่สุดในโลก และจะวงเวียนอยู่ในวงจรที่ยิ่งทำยิ่งติดหนี้ ไม่สามารถออกจากวงจรนี้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเอสเคิร์ฟของค่าแรงที่คิดทีเดียว เพื่อให้อย่างน้อยให้เกิดการใช้จ่ายหรือใช้หนี้ได้บ้าง ฟังแล้วดี แต่ปัญหาอยู่ที่ค่าครองชีพ ซึ่งปัญหามาจากค่าไฟ รวมถึงผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ราคาสินค้าดาหน้าขึ้นหมดเลย ดังนั้น จึงได้สะท้อนไปว่าต้องมีการแก้ไขปัญหาที่ต้นทางกดค่าครองชีพลง ส่วนค่าจ้างก็ค่อยๆ ปรับ ซึ่งนายพิธา ได้รับฟัง ซึ่งการพูดคุยในครั้งนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายได้เปิดใจเข้าหากัน อะไรที่รับฟังได้ก็พร้อมฟัง
ก่อนหน้านี้ นายพิธา เคยพูดในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยมีนโยบาย 450 บาทต่อคน แต่ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องฟังเสียงทุกคน ซึ่งในวันที่มีการเซนเอ็มโอยูข้อที่ทุกคนเซนซิทีฟที่สุดก็ไม่มีเรื่องนี้ แต่สมมติว่าเป็นพรรคเดียวแบบแลนด์สไลด์ 300-400 คน ก็อาจจะไม่ต้องถามคนอื่น ว่าอย่างไร ว่าอย่างนั้น แต่คิดว่าหลังจากที่ได้พบกับ ส.อ.ท. นายพิธา จะเดินสายไปพบกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้กลับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้ง เรื่องกลไกลการขึ้นราคาค่าแรงขั้นต่ำ ควรเป็นเรื่องไตรภาคี ซึ่งเป็นกลไกลที่ทำกันมานานและวินทุกฝ่าย ยอมรับได้ทุกฝ่าย ซึ่งอย่าก้าวข้ามไป
3.เอสเอ็มอี เป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด หลังจากที่เจอการแพร่ระบาดของโควิด-19 สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบกับทั่วโลกรวมถึงไทยด้วย ที่เอสเอ็มอีหลายกลุ่มล้มหายตายจากไปค่อยข้างเยอะ แต่ปัจจุบันเริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่การที่ฟื้นตัวเพิ่มขึ้นรัฐบาลต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยเสริม ถ้าค่าไฟ ค่าแรง และดอกเบี้ยนขึ้นทุกอย่างล้วนเป็นต้นทุน เหล่านี้ถือเป็นการซ้ำเติมเอสเอ็มอี ดังนั้นจะต้องมีการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ และทำให้ถูกต้อง
4.การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อส่งเสริม Ease of Doing Business หรือการกิโยตินกฎหมายที่ล้าสมัย เป็นกับดักและเป็นตัวล็อกที่ทำให้เราแทบขยับตัวไม่ได้ เพราะเรามีกฎหมายยิบย่อยกว่าแสนฉบับ ถ้าทำสติถิโลกเรื่องนี้ไทยคงอยู่ต้นๆ ของโลก ยกตัวอย่างเช่น การขอเปิดร้านอาหาร 1 ร้าน ต้องผ่านกฎหมาย 14 ข้อ 14 หน่วยงาน ซึ่งกฎหมายเหล่านี้เป็นพันธนาการจนเราขยับทำอะไรไม่ได้ จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่ทำเรื่องนี้ เพราะในรัฐบาลที่ผ่านมา กกร.เราร่วมมือกันทำ แต่ทำแล้วยังไม่ได้ผลเสียเทาไหร่ แต่เราได้ศึกษากับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) อย่างชัดเจนแล้วว่า หากแก้ไขเรื่องนี้ประเทศไทยมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งการประเมินนี้อาจยังไม่ได้ปรับทั้งหมด แต่ถ้าปรับแก้ทั้งหมดอาจสร้างเม็ดเงินได้กว่า 1 ล้านล้านบาท เมื่อปลดพันธนาการเสร็จ จะทำให้ไทยยกระดับได้ และที่สำคัญจะช่วยปัญหาคอรัปชั่นได้ ซึ่งเรื่องนี้ตรงกับนโยบายของพรรคก้าวไกล
และ5.เรื่องสิ่งแวดล้อม BCG ซึ่งเรื่องนี้เราให้ความสำคัญและมองว่านโยบายเศรษฐกิจสีเขียว ที่รัฐบาลชุดนี้ทำไว้เป็นเรื่องที่ จึงอยากให้ทำต่อ ไม่ใช่ว่าไม่ใช่นโยบายพรรคจึงไม่ทำต่อ หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดาย นอกจากนี้จะมีการตั้ง กรอ.ความร่วมมือภาครัฐกับเอกชน ที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ต่อไปที่เราเสนอคือเรื่องน้ำ เนื่องจากไทยเริ่มเผชิญกับปรกฎการเอลนีโญ ที่รอบนี้จะอยู่นาน เพราะฉะนั้นภาคการเกษตรที่เราดีอยู่ เป็นครัวของโลก และภาคเกษตรที่ผลูกผลไม้เพื่อการส่งออกจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างแรก ที่จะได้รับผลกระทบต่อไปคือโรงงาน
“ใน 5 หัวข้อที่ฝากการบ้านกับคุณพิธา ไว้ เราพูดถึงเรื่อง Next Step ซึ่งทาง คุณพิธา จะมีการตั้งคณะมาทำงานร่วมกับส.อ.ท.ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมแบบละเอียด ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดตั้งทีมอยู่ คิดว่าอีกไม่นานคงได้เห็น เนื่องจากตอนนี้อาจจะยังยุ่งอยู่กับการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อพร้อมแล้วก็จะเดินหน้าคู่ขนานไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นนิมิตรหมายใหม่ๆ ในการทำงานร่วมกัน จากนี้ไปรัฐและเอกชนต้องจับมือร่วมกัน อย่างที่สภาพัฒน์ อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันเทคออฟ ไม่ใช่เทคไปคนเดียว
5 ข้อดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทางภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมมีผลมากที่สุด แต่เรื่องอื่นๆ ทางด้านสังคม เป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องดูแล เพราะฉะนั้นใน 5 ข้อ ดังกล่าว อยากให้เร่งทำเรื่องกิโยตินกฎหมาย เพราะเมื่อกฎเกณฑ์มากเกินไปจะทำให้ธุรกิจมีปัญหา แต่เมื่อไม่ไหวก็จะเกิดการจ่ายใต้โต๊ะ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นการสร้างนิสัยคอรัปชั่นไปตลอด จึงอยากให้เร่งแก่ไข เพื่อความลื่นไหลของการทำธุรกิจ อาทิ เกาหลีใต้ มีปัญหาเหมือนกับเรา แต่กฎหมายของเกาหลีไม่มากเท่าไทย แต่ในที่สุดก็มีการแก้กฎหมายไปสู่กฎหมายใหม่ๆ ที่รองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ดิจิทัล เป็นต้น ปรากฎว่าไม่กี่ปี เกาหลีใต้ มีจีดีพีแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว
“ผมอยากเห็นประเทศไทยเป็นแบบนั้นเช่นกัน เราควรปลดล็อกพันธนาการเหล่านี้ เพื่อติดปีกอุตสาหกรรม ที่ไม่ใช่แค่เทคออฟ แต่จะเป็นการพุ่งขึ้นแบบจรวด ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลควรเริ่มทำเรื่องนี้ก่อน เพราะเมื่อลงมือทำจะสามารถเพิ่มศักยภาพให้กับประเทศทันที หากมีการแก้ไขเรื่องนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขในขนาดเล็ก ไม่กี่ข้อ โดยให้ทีดีอาร์ไอ เป็นคนทำศึกษา และเห็นว่าไม่กี่ขบวนทัศน์ ก็จะเซฟเกินได้เป็นแสนล้านบาท ถ้าทำทั้งหมดก็จะเซฟได้กว่า 1 ล้านล้านบาท เพราฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย แค่แก้ไขเรื่องนี้เศรษฐกิจก็ผงกหัวขึ้นมาได้แล้ว” นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ความท้าทายของการผลิตของโลก ตอนนี้โลกเผชิญกับเรื่องสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และที่สำคัญจะมีการย้านฐานการผลิตที่เป็นการย้ายไปในประเทศพันธมิตร หรือการแยกขั้วกันชัดเจน ซึ่งในสมัยก่อนเป็นการย้ายกลับไปที่ประเทศ โดยนำชิป หรือเซมิคอนดักเตอร์ ที่สำคัญกลับไปที่สหรัฐฯ แต่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมตรีของประเทศอิสราเอล ได้ประกาศใหญ่ว่าบริษัท อินเทล จะลงทุน 2.5 หมื่นล้านเรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเพราะมั่นใจระบบรักษาความปลอดภัย และการพัฒนาร่วมกัน เนื่องจากเอ็นจีเนียร์ที่มีจำนวนมาก สามารถรองรับการผลิตได้ ที่สำคัญเป็นการกระจ่ายความเสี่ยง ทำให้ซัพพลายซิเคียวลิตี้เกิดขึ้นทั่วโลก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังอยู่ในช่วงถดถอยทางเศรษฐกิจ เรื่องดิจจิทัลทรานฟอร์มเมชั่น ทุกอุตสาหกรรมต้องไปสู่ 4.0 เรื่องของเทคโนโลยี และเรื่องของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ (เทรดวอร์) และเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นหัวใจ เป็นหัวข้อสำคัญ และเป็นกติกาสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ที่จะมาตั้งกฎกติกาในการเก็บภาษีกับทุกอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนเยอะ อาทิ ซีแบม ที่อียู 27 ประเทศ บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ใน 7 อุตสาหกรรมนำร่อง ซึ่งตอนนี้ สมาชิกของ ส.อ.ท.เริ่มตื่นตัว และหาทางที่จะลดการปล่อยคาร์บอนลงว่าควรทำอย่างไร แต่หลังจากนี้ 2 ปี ทุกอุตสาหกรรมโดนหมด ล่าสุดหลายประเทศเริ่มมีกฎในลักษณะแบบรี้แล้ว เช่นเดียวกับจีน ซึ่งหลังจากนี้เรื่องมาตรการการกีดกันทางการค้าจะมีสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นความเปราะบาง หรือจวดจะขาดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ได้รับผลกระทบด้านการส่งออก แต่ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ และเวียดนาม ลดมากกว่าไทย สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อของทั่วโลกกำลังหดหาย จากการประเมิน 2 ปี ข้างหน้า และ 10 ปีข้างหน้าที่ทั่วทั้งโลกต้องเผชิญปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมจะเป็นคีร์หลัก ในการกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ส่วนคู่แข่งของไทย เมื่อนำจีดีพีของแต่ละประเทศมาเทียบกันแล้ว จีดีพีไทยอยู่ที่อันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย เพราะมีประชากรมาถึง 270 ล้านคน ส่วนเรื่องการส่งออกการและลงทุนของเราในปี 2565 เหลือเพียง 1.16 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ที่มาแรงในปีที่แล้วคืออินโดนีเซีย มีมูลค่าการส่งออก 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่สิ่งที่เราด้อยกว่าประเทศคู่แข่งคือเรื่องค่าไฟ ของไทย 4.70 บาทต่อหน่วย เวียดนามอยู่ที่ 2.75 บาทต่อหน่วย และอินโดนีเซีย 3.32 บาทต่อหน่วย ส่วนเรื่องข้อตกลงทางการค้า (เอฟทีเอ) ไทยมี 14 ฉบับ ครอบคลุม 19 ประเทศ เวียดนาม 16 ฉบับ 55 ประเทศ และอินโดนีเซีย 12 ฉบับ 18 ประเทศ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมก็คล้านกันคือนิวเอสเคิร์ฟ
ส่วนอินโดนีเซีย เจาะกลุ่มเรื่องอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะมาเป็นคู่ชกแข่งกับเราในเรื่องของยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ฟอสซิล หรือระบบไอซีอี ต่อไป โดยเมื่อปี 2565 รถระบบไอซีอี ไทยมีการผลิตอยู่ที่ 1.88 ล้านคัน ขณะที่ อินโดนีเซีย มีการผลิตอยู่ที่ 1.47 ล้านคัน แต่ของไทยมุ่งเน้นการส่งออกมากกว่า โดยตลาดในประเทศขายน้อยกว่าอินโดนีเซีย หรือประมาณ 8 แสนคัน แต่อินโดนีเซีย ส่วนใหญ่ขายในประเทศ ประมาณ 1 ล้านคัน ขณะที่ การแข่งขันของรถยนต์อีวี ที่อินโดนีเซียต้องการแย่งเป็นฐานการผลิตของรถอีวีจากไทยให้ได้ เพราะมีความได้เปรียบที่มีแร่นิเกิ้ล ปัจจุบันครองอยู่ 24% ของมาเก็ตแชร์โลก เพราะฉะนั้นตอนนี้โรงงานแบตเตอรี่ที่เป็นต้นทุนใหญ่กว่า 40% ของการผลิตรถอีวี ได้ไปตั้งฐานการผลิตที่นั่น ถึงแม้ว่าไทยจะมีการบริโภคภายในประเทศ 7.2 หมื่นคัน และมีเรื่องต้นทุนค่าไฟประจุที่ต้องนำมาเติม 2.91 บาทต่อหน่วย ส่วนอินโดนีเซีย ต้นทุนอยู่ที่ 1.64-3.79 บาทต่อหน่วย ซึ่งอินโดนีเซีย เป็นค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น และสหรัฐ แต่ของไทยจะเป็นค่ายรถยนต์จากจีนเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้ทั้ง 2 ประเทศ มีการแย่งตัวเทสล่า ที่ตอนนี้เราเป็นรองเขา 3 ต่อ 7
“สิ่งที่เรากังวลคือเรื่องภาษี โดยเฉพาะโครงสร้างของประเทศเรามีปัญหา ในเรื่องของอาเซียนไชน่าเอฟทีเอ นำเข้าชิ้นส่วนเป็นศูนย์ ตอนนี้เราได้ออกกติกา การนำเข้าจะเป็นศูนย์ได้ต้องมีโลคอลคอนเท้นต์ 40% สิ่งที่เรากังวลคือเมื่อเราผลิตแบตเตอรี่จะประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่า 40% แต่ชิ้นส่วนอื่นๆ นำเข้าจากจีน เท่ากับเราจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนเรื่องเทคโนโลยีทรานเฟอร์ เมื่อเราเปลี่ยนผู้เล่นจากญี่ปุ่นเป็นจีน อย่างน้อยเรายังมีซัพพลายเชนเข้าไปร่วมด้วย แต่ถ้าเป็นจีนกลัวอย่างเดียวความใหญ่ของจีน ตัวใหญ่กระเพาะใหญ่ กินหมด เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยเหลือให้เรา
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของอิเล็กทรอนิกส์อัจฉะริยะ เราเป็นการส่งออกระดับ 2 ของไทย เป็นรองชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีการจ้างงาน 1 แสนคน และเรามี เวสเทิร์นดิจิตอล ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ รายใหญ่ที่สุดของโลก มูลค่าการส่งออกในอาเซียน สิงคโปร ประมาณ 5 ล้านล้านบาท เกาหลีใต้ 5 ล้านล้านบาท เวียดนาม 3.6 ล้านล้านบาท มาเลเซีย 2.6 ล้านล้านบาท และไทย 1.13 ล้านล้านบาท
เพราะว่าเราผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่จะถูกดิสรัปด้วยโซลิดสเตท ตอนนี้โตโยต้าเริ่มประกาศใช้โซลิดสเตท ที่สามารถชาร์จแล้ววิ่งได้ 1 พันกิโลเมตร เพราะฉะนั้นฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่เราทำอยู่เราอยู่ปลายเชนมากๆ เราได้แต่ค่าแรงค่าประกอบ ตอนนี้สิ่งที่อยากได้คือ IC Design IC Manufacturing และ IC Packaging ถ้าสามารถทำได้ เราจะมีรายได้ที่มากขึ้น และไม่โดนดิสรัปชั่น ทุกวันนี้มาเลเซียเหนือกว่าเราเยอะ เพราะชิ้นส่วน หรืชิปเรายังต้องนำเข้าจากมาเลเซีย ของเราได้แต่ค่าแรง ที่สำคัญคือเรื่องไอซี ตอนนี้ที่ ส.อ.ท. ก็เป็นหนึ่งทีมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ท้ายที่สุดนี้โลกเปลี่ยนไว ไทยต้องปรับเร็ว เราต้องรวมพลังเป็นไทยแลนด์เทคออฟ ขอให้เดินหน้าพุ่งแรงแบบจรวด ไม่เอาแบบค่อยๆ บินแล้ว” นายเกรียงไกร กล่าว
ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เลขาฯสภาพัฒน์ ขอรีแคป ก่อนเทคออฟ ลุ้นจีดีพี 2.7% ห่วงส่งออก แนะปรับโครงสร้างอุตฯ-ขยายท่องเที่ยว
- ดนุชา ชี้โอกาสลงทุน หลังรถอีวีบูม มอง ‘รัฐสวัสดิการ’ คลังต้องแข็ง แนะขยายฐานภาษี
- ดนุชา มั่นใจปี’66 ศก.ไปได้ ห่วงหนี้ครัวเรือน ชี้นโยบายตปท. ต้องสร้างเซฟโซน ดึงอุตฯดิจิทัล
- ‘เฟทโก้’ คาดสหรัฐดันหุ้นกระทิงอีกรอบ หลายปัจจัยเสี่ยงคลายตัว สบช่องนักลงทุนไทย
- สันติธาร เทียบเศรษฐกิจไทย คือ ‘นักกีฬาสูงวัย’ แนะโค้ชใหม่ลุย 5 ข้อ เลิกเป็นตัวสำรอง
- สภาอุตฯ ฉายเศรษฐกิจโลก เตือนรบ.ใหม่ อย่าใช้ยาแรงขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หวั่นSME ‘หัวใจวาย’