‘เฟทโก้’ ชี้นักลงทุนประสานเสียง ตั้งรัฐบาลชัด-รอกระตุ้น ศก. ดันความเชื่อมั่นเข้าเกณฑ์ร้อนแรง

‘เฟทโก้’ ชี้นักลงทุนประสานเสียง ตั้งรัฐบาลชัด-รอกระตุ้น ศก. ดันความเชื่อมั่นเข้าเกณฑ์ร้อนแรง

เมื่อวันที่ 6 กันยายน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือเฟทโก้ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนสิงหาคม 2566 สำรวจระหว่างวันที่ 21-31 สิงหาคม 2566 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 141.27 ปรับขึ้น 69.3% จากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง โดยนักลงทุนมองว่าความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจจีน รองลงมาคือสถานการณ์การเมืองในประเทศในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และการประกาศจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Financial Transaction Tax : FTT)

Advertisement

นายกอบศักดิ์กล่าวด้วยว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับขึ้นอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก ปรับเพิ่ม 75.6% อยู่ที่ระดับ 165.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับขึ้นสู่เกณฑ์ร้อนแรง ปรับเพิ่ม 47.1% อยู่ที่ระดับ 147.06 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับขึ้นสู่เกณฑ์ร้อนแรง ปรับเพิ่มขึ้น 87.5% อยู่ที่ระดับ 125.00 ขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวที่ระดับ 112.50 โดยมี หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM) หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)

นายกอบศักดิ์ระบุว่า ดัชนีในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งแรกของเดือนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่อ่อนตัวลงจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอลงและวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์จีน อีกทั้งการที่ Fitch ปรับลด Credit Rating ระยะยาวของสหรัฐ จากระดับ AAA เหลือ AA+ ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาปรับตัวในทิศทางบวกในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนหลังการลงมติเลือก นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งสะท้อนแนวโน้มความมีเสถียรภาพทางการเมือง

Advertisement

ทั้งนี้ ดัชนี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,565.94 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.6% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 58,579 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 14,755.28 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ของปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมกว่า 132,936 ล้านบาท

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการทางการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ หลังสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 5.25-5.50 และธนาคารกลางยุโรปปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 3.75 ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ใช้เงินสกุลยูโรตั้งแต่ปี 2542 ทั้งยังต้องจับตาภาวะเศรษฐกิจจีนจากผลกระทบของวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนหลังบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ประกาศล้มละลาย ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคตลาดทุน ภาคการส่งออกของไทยที่ยังติดลบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงความท้าทายเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบัน สูงถึง 90.6% ของจีดีพี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image