เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

มุมมองใหม่ต่อสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย

25.06.2025

บทความพิเศษ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน

ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

มุมมองใหม่ต่อสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย

บทนำ

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Completed-aged society) แล้ว ตั้งแต่ พ.ศ.2567 โดยมีประชากรสูงอายุจำนวน 13,736,996 คน (สำนักทะเบียนราษฎร 2567) คิดเป็นอัตราร้อยละ 20.83 ของประชากร

อัตราร้อยละของผู้สูงอายุดังกล่าวก่อให้เกิดข้อวิตกห่วงใยจากทุกฝ่าย โดยมองว่า ผู้สูงอายุเป็น “ภาระ” (burden) ของสังคม เพราะถือว่าผู้สูงอายุจัดอยู่ในกลุ่มผู้พึ่งพิงที่กลุ่มวัยแรงงานจะต้อง “แบกภาระเลี้ยงดู”

โดยมีคนจำนวนมากมองว่าประเทศไทยไม่มีการเตรียมการเข้าสู่สังคมสูงอายุ

และข้อสำคัญคือผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ “แก่ก่อนรวย”

ตรงข้ามกับสิงคโปร์ที่เข้าสู่สังคมสูงอายุก่อนประเทศไทย แต่เขา “รวยก่อนแก่” ทั้งๆ ที่สิงคโปร์เพิ่งก่อตั้งประเทศมาเพียง 50 กว่าปี โดยตั้งต้นจากประเทศที่ไม่มีแม้แต่น้ำที่จะทำน้ำประปาให้ประชาชนใช้และเต็มไปด้วยปัญหาของกลุ่มแก๊งต่างๆ มากมายเพราะเป็นเมืองท่าเรือมายาวนาน

บทความนี้พยายามจะนำเสนอข้อมูล การวิเคราะห์และเสนอมุมมองใหม่ต่อสังคมสูงอายุในประเทศไทย

สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย

ประเทศไทยกำหนดนิยามผู้สูงอายุไว้ในพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 มาตรา 3 ว่า ผู้สูงอายุหมายถึง “บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและมีสัญชาติไทย” นิยามนี้แตกต่างจากประเทศ “พัฒนาแล้ว” ซึ่งนิยามผู้สูงอายุ ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป

แต่นิยามของ “สังคมสูงอายุ” ของสหประชาชาติจะพิจารณาที่อัตราร้อยละของประชากรสูงอายุ โดยพิจารณาทั้งกลุ่มผู้มีอายุ “60 ปีขึ้นไป” และ “65 ปีขึ้นไป” ทำให้สามารถเปรียบเทียบกันได้ นั่นคือ

สังคมสูงอายุ (aging society) หมายถึงสังคมที่มีประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด หรือประชากร 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด

สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (aged society) หมายถึงสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งหมด

สังคมสูงอายุระดับสุดยอด (super-aged society) หมายถึงสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด

ในประเทศไทยมักใช้ภาษาอังกฤษเรียก “สังคมสูงอายุ” ว่า “aged society” และเรียก “สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์” ว่า “complete-aged society และเรียก “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” ว่า “super-aged society”

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ ตั้งแต่ พ.ศ.2548 และเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ ์เมื่อ พ.ศ.2567

เพื่อให้ง่ายและมีความจำเพาะเจาะจงในการกำหนดนโยบาย และการดำเนินการเกี่ยวกับผู้สูงอายุประเทศไทย แบ่งกลุ่มผู้สูงอายุเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

(1) ผู้สูงอายุ วัยต้น (young old) ได้แก่ ผู้มีอายุ 60-69 ปี

(2) ผู้สูงอายุ วัยกลาง (middle old) ได้แก่ ผู้มีอายุ 70-79 ปี

(3) ผู้สูงอายุ วัยปลาย (oldest old) ได้แก่ ผู้มีอายุ 80 ปีขึ้นไป

ในปี พ.ศ.2567 ประเทศไทยมีประชากรรวม 65,951,179 คน แบ่งเป็นชาย 32,145,267 คน คิดเป็น 48.74% หญิง 33,805,912 คนคิดเป็น 51.26%

กลุ่มอายุ 0-14 ปี (วัยเด็ก) 9,986,699 คน คิดเป็น 15.14%

กลุ่มอายุ 15-59 ปี (วัยทำงาน) 42,227,484 คน คิดเป็น 64.03%

กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป (วัยสูงอายุ) 13,736,996 คน คิดเป็น 20.83%

มุมมองใหม่ต่อผู้สูงอายุ

โดยทั่วไป ผู้ที่สูงอายุแล้ว จัดเป็นกลุ่มที่มิใช่วัยแรงงาน จึงเป็นกลุ่มพึ่งพิง และมีการคิดอัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแสดงถึงภาระการเลี้ยงดูผู้สูงอายุของประชากรวัยแรงงาน โดยการคำนวณจำนวนผู้สูงอายุที่ประชากรวัยแรงงานต้องรับภาระเลี้ยงดูต่อจำนวนประชากรวัยแรงงาน 100 คน นั่นคือคิดคำนวณจากจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปต่อประชากรอายุ 15 ถึง 59 ปี 100 คน

ในปี 2566 อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุเท่ากับ 31.02 ซึ่งหมายความว่า ประชากรวัยแรงงาน 100 คน จะต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุจำนวน 31.02 คน

ตัวเลขดังกล่าวนี้ เป็นข้อวิตกห่วงใยว่า ผู้สูงอายุที่ต้อง “พึ่งพิง” วัยแรงงานมีอัตราสูงมากถึง 31.02 ในปี พ.ศ.2566 และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อตัวเลขของเด็ก ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่ต้อง “พึ่งพิง” อัตราร้อยละ 15.14 รวมเป็นวัย “พึ่งพิง” ทั้งหมดสูงถึง 46.16 จึงยิ่งน่าวิตก

ยิ่งกว่านั้น สถานการณ ์ “เด็กเกิดน้อย” ที่เริ่มเกิดขึ้นในสังคมไทย มาตั้งแต่ พ.ศ.2527 นั่นคือจำนวนเด็กไทยซึ่งเกิดปีละกว่าหนึ่งล้านคนมาตั้งแต่ พ.ศ.2506 เริ่มเกิดต่ำกว่าล้านคน ตั้งแต่ พ.ศ.2527 อย่างไรก็ดี จำนวนเด็กเกิดก็ยังมีมากกว่าจำนวนคนตายเรื่อยมาจนกระทั่ง พ.ศ.2563 จำนวนเด็กเกิดเริ่มน้อยกว่าจำนวนคนตาย ยิ่งเพิ่มข้อน่าวิตกว่า กลุ่มประชากรวัยแรงงานจะมีสัดส่วนน้อยลง ทำให้อัตราการพึ่งพิงยิ่งสูงขึ้นๆ จึงเป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว และจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นๆ

สถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะประเทศไทย “ไม่มีการเตรียมการการเข้าสู่สังคมสูงอายุมาเลย” ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตาม “ยถากรรม” เช่นนั้นหรือ



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

เปิดท่าทีประเทศต่าง ๆ ต่อภัย Online Scam ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ หลังศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ของไทย AOC 1441 คว้ารางวัลที่ 1 ของโลก!
DMT เปิดตัวโครงการนำร่อง “ทำนาลดคาร์บอน” ยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต
‘ลิณธิภรณ์‘ ประกาศ “รถไฟฟ้า 20 บาท” เชื่อมฝันนักเรียนไทย สู่การศึกษากว้างไกลขึ้น ประหยัดเวลาเด็ก-ค่าใช้จ่ายครอบครัว เพื่ออนาคตของชาติ
“ทนายแจม” เรียกร้องผู้แทนราษฎรทุกพรรคการเมืองแสดงความกล้าหาญ โหวตผ่านร่างนิรโทษกรรมทุกฉบับโดยไม่เลือกปฏิบัติ ถกความเห็นต่างในชั้นกรรมาธิการ
หวยออกที่อิ๊งค์
ช็อก! ทรัมป์เล่นแรงเก็บภาษีไทย 36% ชี้ผลเสียหายมากกว่าตัวเลข “ส่งออก” “พิชัย” แบกภารกิจชาติ “สู้ต่อ-สู้ไม่ถอย”
‘เศรษฐกิจไทย’ ตกหลุมอากาศ เจอ Perfect Storm 3 ลูกซัด การเมือง-ภาษีทรัมป์-ท่องเที่ยวทรุด
พรรคน้ำเงินกับพลังตัวซีเคร็ต
จริงหรือที่ว่าเด็กรุ่นใหม่
การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกญี่ปุ่น (参院選挙) ปี 2025
‘ไม่มีประชาธิปไตยในความรัก’ : รำลึกถึงกูกิ วา ทิอองโก (Ngũgĩ wa Thiong’o)
ผมจะทำอะไรกับประกันสังคม หากมีอำนาจเป็นรัฐบาลสักสามเดือน