ผู้เขียน | สุรชาติ บำรุงสุข |
---|
หนึ่งในข้อเรียกร้องประการสำคัญของประธานาธิบดีเซเลนสกี้ที่มีต่อสหรัฐอเมริกาและต่อองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (เนโต้) คือ การขอให้มีการกำหนดให้น่านฟ้าของยูเครนเป็น “เขตห้ามบิน” (no-fly zone) แต่จะเห็นได้ชัดว่า รัฐบาลตะวันตกไม่ยอมตอบรับคำร้องขอของผู้นำยูเครนแต่อย่างใด จนทำให้คนบางส่วนมีความรู้สึกว่า ในสถานการณ์สงครามที่กำลังเกิดขึ้นนั้น ตะวันตกทิ้งยูเครนให้ต้องเผชิญกับการโจมตีของรัสเซียอย่างโดดเดี่ยว (จนกระทั่งประเด็นนี้ถูกนำไปขยายผลในหมู่ “กองเชียร์สงครามของรัสเซีย” อันให้เกิดความเชื่อว่า ตะวันตกไม่กล้าตอบรับ เพราะตะวันตกกลัวรัสเซีย เป็นต้น)
ดังนั้น บทความนี้จะนำเสนออย่างสังเขปถึง สิ่งที่เรียกว่า “เขตห้ามบิน” คืออะไร และหากมีการประกาศใช้แล้ว จะเกิดผลอะไรตามมา?
นิยาม
แนวคิดเรื่องการประกาศ “เขตห้ามบิน” เป็นเรื่องใหม่ในทางการเมืองระหว่างประเทศ และเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในยุคหลังสงครามเย็น ดังนั้น การทำความเข้าใจในเรื่องนิยามจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้สนใจการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน
ความหมายของคำว่า “เขตห้ามบิน” คือ การกำหนดเขตพื้นที่เพื่อป้องกันการโจมตีพลเรือนจากทางอากาศ ฉะนั้น การกำหนดนี้คือ การไม่ยอมให้รัฐเป้าหมายเป็นฝ่ายได้เปรียบในฐานะของการเป็น “ผู้ครองอากาศ” หรือในอีกด้านมีความหมายโดยตรงคือ “การควบคุมน่านฟ้าในพื้นที่การรบ” การประกาศการควบคุมพื้นที่ทางอากาศเช่นนี้จึงมีนัยทั้งทางการเมืองและการทหาร อีกทั้งมีความหมายโดยเฉพาะว่า อากาศยานของประเทศเป้าหมายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ล่วงล้ำเข้าในพื้นที่ดังกล่าวได้เลย
การประกาศจึงต้องมีมาตรการที่เข้มแข็งในการควบคุม กล่าวคือ อากาศยานของประเทศเป้าหมายที่ล่วงล้ำเข้ามาจะถูกแจ้งเตือนให้กลับออกไป และการละเมิดอาจจะถูกตอบโต้ในทางทหาร เงื่อนไขพื้นฐานเช่นนี้ทำให้การประกาศที่เกิดขึ้นมีลักษณะของ “การใช้กำลังบังคับ” เช่น การยิงอากาศยานที่ล่วงล้ำเข้ามา เป็นต้น
ในบางกรณี มาตรการดังกล่าวอาจกินความถึงการทำลายอากาศยานของประเทศเป้าหมาย หรือทำลายสนามบินในพื้นที่ใกล้เคียงสำหรับเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ที่อาจจะถูกใช้เพื่อการละเมิดเขตที่ประกาศนี้
จากนิยามในเบื้องต้นดังที่กล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า ความหมายของเขตห้ามบินมีความละเอียดอ่อนอย่างมาก และการบังคับใช้มาตรการเช่นนี้มีความล่อแหลมในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการบังคับใช้เกิดขึ้นกับรัฐมหาอำนาจใหญ่ที่มีขีดความสามารถทางทหารอย่างมากแล้ว ความสำเร็จจะเป็นไปได้จริงเพียงใด
ประสบการณ์ในอดีต
มาตรการประกาศเขตห้ามบินเคยถูกนำออกมาบังคับใช้ในยุคหลังสงครามเย็นใน 4 กรณี คือ
1) การประกาศเขตห้ามบินในพื้นที่ภาคเหนืออิรักในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศต่อชาวเคริ์ด
2) การประกาศเขตห้ามบินเหนือพื้นที่ภาคใต้ของอิรัก เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศต่อชาวอิรักนิกายชิอะห์
3) การประกาศเขตห้ามบินในสงครามบอสเนีย เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือน
4) การประกาศเขตห้ามบินเหนือลิเบียในช่วงสงครามกลางเมือง เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศและเพื่อบังคับให้ลิเบียปฎิบัติตามข้อมติของสหประชาชาติ
ข้อพิจารณา
บทเรียนจากประสบการณ์ในอดีตทั้ง 4 กรณีข้างต้น จะเห็นได้ว่าประเทศเป้าหมายไม่ใช่รัฐมหาอำนาจใหญ่ และไม่มีขีดความสามารถของกำลังทางอากาศ จนกลายเป็นข้อกังวลในทางทหารสำหรับรัฐผู้บังคับใช้ แต่ในกรณีของการบังคับใช้เหนือน่านฟ้าของยูเครนมีความแตกต่างออกไปอย่างมาก เพราะเป้าหมายคือ การบังคับใช้กับกำลังรบทางอากาศของรัสเซียซึ่งเป็นรัฐมหาอำนาจของโลก
การออกมาตรการเช่นนี้จึงถูกมองจากทางฝ่ายสหรัฐและฝ่ายตะวันตกว่า อาจนำไปสู่การยกระดับสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และปัจจัยที่ต้องนำมาเป็นข้อพิจารณาอย่างมีนัยสำคัญคือ รัสเซียเป็นรัฐมหาอำนาจนิวเคลียร์ การบังคับใช้จึงหมายถึง การมีนโยบายที่มีการเผชิญหน้ากับรัสเซียโดยตรง เพราะกำลังรบทางอากาศจะถูกใช้ในพื้นที่การรบ อันอาจนำไปสู่เงื่อนไขของสงครามนิวเคลียร์อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ในสภาวะเช่นนี้ ฝ่ายตะวันตกจึงยังไม่ต้องการให้เกิดการประกาศเขตห้ามบินตามคำขอของรัฐบาลยูเครน
การประกาศจะนำไปสู่การยกระดับสงครามในตัวเอง และการยกระดับนี้อาจกลายเป็นชนวนของสงครามนิวเคลียร์ ซึ่งเราอาจต้องยอมรับในกรณีนี้ว่า โลกตะวันตกยังคงมีความกังวลกับปัญหาสงครามนิวเคลียร์อยู่ค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีปูตินประกาศให้กองกำลังอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียเตรียมพร้อมในช่วงต้นของสงคราม โลกตะวันตกจึงยังไม่ต้องการ “เสี่ยง” กับการตัดสินใจของผู้นำรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายที่ชัดเจนมาจากคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐที่ว่า การกำหนดเขตห้ามบินคือ “การส่งเครื่องบินของเนโต้เข้าสู่น่านฟ้าของยูเครน และคอยยิงเครื่องบินของรัสเซียที่ล่วงล้ำเข้ามา” ซึ่งคำกล่าวนี้ทำให้เห็นภาพของปัญหาที่จะเกิดตามมา
ผลสืบเนื่องจากปัญหาที่กล่าวแล้วคือ การประกาศย่อมเปิดโอกาสให้รัสเซียตีความว่า สหรัฐและ/หรือเนโต้ ได้กลายเป็น “คู่ขัดแย้ง” ในสงครามที่เกิดขึ้นโดยตรง ดังนั้น รัสเซียจึงมีความชอบธรรมในทางทหารที่จะใช้กำลังตอบโต้ ซึ่งก็คือ การยกระดับสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ การทำสงครามทางอากาศของรัสเซียเป็นไปในรูปของการโจมตีทางอากาศระยะไกล และเป็นการกระทำจากฐานทัพอากาศภายในของรัสเซียเอง ไม่ได้พึ่งพาสนามบินในยูเครน ดังนั้น หากมีการประกาศเขตห้ามบินเหนือยูเครน ก็อาจไม่ใช่ปัจจัยที่จะหยุดยั้งการโจมตีทางอากาศของรัสเซียได้จริง
ข้อคิด
หากพิจารณาการประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้ายูเครนจากข้อพิจารณาทางทหารดังที่กล่าวแล้ว อาจจะต้องยอมรับว่า การประกาศนี้จะไม่เครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการควบคุมสงคราม ในทางกลับกัน การออกมาตรการนี้อาจกลายเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการกำเนิดของสงครามใหญ่ในอนาคต
ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเห็นใจต่อความสูญเสียของประชาชนชาวยูเครนจากการโจมตีทางอากาศของรัสเซียเช่นไร หรือเราจะไม่พอใจต่อการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครนเช่นไรก็ตาม เราอาจต้องยอมรับความจริงในทางทหารว่า การบังคับใช้เขตห้ามบินเหนือพื้นที่ทางอากาศของยูเครนเป็น “ความเสี่ยง” ในสงคราม มากกว่าจะเป็นเครื่องมือในการ “ควบคุม” พฤติกรรมของรัสเซีย
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญที่จะต้องตระหนักก็คือ ประธานาธิบดีปูตินคงไม่คนที่จะ “ยอมจำนน” ด้วยการประกาศยุติปฎิบัติการทางทหารของรัสเซีย เพียงเพราะสหรัฐและเนโต้บังคับใช้มาตรการนี้ อีกทั้งยังต้องระลึกเสมอว่า รัสเซียเป็นรัฐมหาอำนาจนิวเคลียร์… ความเสี่ยงของเขตห้ามบินจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของสงครามใหญ่เท่านั้น หากเป็นเรื่องของสงครามนิวเคลียร์อีกด้วย!