เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

บ้านเมืองมีปัญหา เพราะไม่มีใครฟังใคร?

17.07.2024

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

บ้านเมืองมีปัญหา

เพราะไม่มีใครฟังใคร?

 

นั่งคุยกับเพื่อนรุ่นเยาว์วันก่อน มีคำถามกลางวงว่า

“ทำไมผมรู้สึกว่าผู้ใหญ่บ้านเมืองนี้ตะโกนดังขึ้นทุกวัน…เขาพูดเสียงเบาๆ ไม่เป็นแล้วหรือ?”

ผมก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่ายิ่งเป็นเรื่องการเมือง การถกแถลงยิ่งวันก็ยิ่งส่งเสียงดังขึ้น

เยาวชนอีกคนถามว่า “ผมว่าคนไทยส่งเสียงดังขึ้น แต่ฟังกันน้อยลง”

วงสนทนานั้นจึงเริ่มตั้งคำถามว่า เพราะไม่มีใครฟังใครบ้านเมืองจึงมีปัญหามากมายแบบทุกวันนี้ใช่ไหม

เพราะเรามี “สมาธิสั้นลง” จึงมุ่งแต่จะพูด ไม่มีความสนใจที่จะฟัง

หรือเราฟังก็เฉพาะที่เราอยากจะฟัง

หากเป็นอะไรที่แย้งกับความเห็นของเรา หรือที่เรียกว่า “ขัดหู” เราจะปิดหู เลิกฟังทันที

ถ้าผู้คนสนใจจะพูด ไม่ต้องการฟัง ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธความเห็นที่แตกต่าง

เมื่อไม่พยายามจะเข้าใจความเห็นอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ตามมาก็คือช่องว่างของความเข้าใจ

มองคนเห็นเป็นคนละพวก

ร้ายกว่านั้นคือการตีตราว่าเป็นศัตรู

นำไปสู่การแบ่งขั้วแบ่งเหล่ามากขึ้น

ยืนอยู่คนละข้าง เป้าหมายของการแลกเปลี่ยนไม่ใช่เพื่อสร้างความเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายหนึ่งจึงเห็นต่าง

แต่มุ่งเน้นเอาชนะคะคาน

บางครั้งมองว่าการพยายามฟังเพื่อให้เข้าใจเพื่อหวังแสวงหาจุดร่วมถูกมองเป็นความอ่อนแอพ่ายแพ้

ปัญหาสังคมไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา

เสื่อมทรุดกลายเป็นความขัดแย้งที่หนักหน่วงรุนแรง ปัญหาเดิมมีหนึ่งถูกขยายไปเป็นสองสามสี่โดยไม่รู้ตัว แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีส่วนทำให้ปัญหา “พูดแต่ไม่ฟัง” หรือ “ฟังแต่ไม่ได้ยิน” เลวร้ายลงไปอีก

เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Echo Chamber หรือ “ห้องสะท้อนเสียง”

สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังคือเสียงของตัวเราเองที่ส่งออกไปแล้วสะท้อนกลับมา

แต่เราเหมาว่านั่นคือเสียงคนอื่น

ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าความคิดความอ่านของเรานั้นถูกต้องแล้ว ใครมาแย้งมาเถียงไม่ได้

เป็นการเสริมเพิ่มอคติ

เป็นการบอกปัดมุมมองย้อนแย้งทันทีที่อีกฝ่ายหนึ่งแค่อ้าปาก ความแตกแยกในสังคมจึงหนักหน่วงลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ทำให้ “การสนทนาเชิงสร้างสรรค์” เพื่อหาทางออกร่วมกันยากเย็นยิ่งขึ้น

 

เมื่อเราให้ลำดับความสำคัญของการพูดมากกว่าการฟังก็จะตามมาด้วยการตีความอีกฝ่ายหนึ่งผิดๆ

เพิ่มความตึงเครียด ความขัดแย้ง

เลวร้ายกว่าการ “ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด”

เพราะอย่างน้อยการ “ฟังไม่ได้ศัพท์” ยังมีการ “ฟัง”

ฟังแล้วไปตีความผิดจากที่เจ้าตัวต้องการสื่อ อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังสามารถชี้แจงแก้ไข

แต่หากเป็นการ “พูดแต่ไม่ฟัง” นั้น อาการหนักกว่าหลายเท่า

เพราะไม่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจ

เพราะเชื่อสนิทใจแล้วว่า “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่”

บางทีเขายังไม่ทัน “อ้าปาก” เราก็ชี้นิ้วไปสรุปว่า “ฉันเห็นทะลุถึงลิ้นไก่คุณแล้ว”

 

ที่ทำให้เกิดปัญหาในระดับชาติเพราะไม่ฟังกันและฟังนั้นคือปฏิเสธที่จะฟัง “เสียงชายขอบ”

เสียงของชุมชนชายขอบมักจะจมหายไปเพราะคนมีตำแหน่งและฐานะครอบงำการพูดคุย

นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางสังคม

ตามมาด้วยความอยุติธรรม

ตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำที่ยิ่งวันยิ่งลุ่มลึก

เพราะเสียงของคนตัวเล็กตัวน้อยถูกกลบโดยผู้มีอำนาจตัดสินชะตากรรมของผู้อื่นอย่างไร้ความเป็นธรรม

เมื่อไม่ฟังเสียงของชุมชน นโยบายรัฐและความพยายามจะแก้ปัญหาระดับชาติก็ผิดพลาดล้มเหลว

เพราะเมื่อผู้มีอำนาจถามเองตอบเอง ก็ย่อมจะตั้งโจทย์ผิด

เมื่อโจทย์เพี้ยน หนทางแก้ปัญหาก็ถูกบิดเบือน

นำมาซึ่งความล้มเหลวในการแก้ปัญหาส่วนรวมของสังคม

หากไม่มีการฟังอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะจากผู้คนจากภาคส่วนต่างๆ ปัญหาที่สั่งสมก็จะยืดเยื้อและเสื่อมทรุด

ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางสังคม เช่น ความยากจน การเหยียดเชื้อชาติ และความไม่เท่าเทียมทางเพศ

หากผู้ปกครองไม่ฟังก็จะไม่เห็นคุณค่าของการต่อสู้ดิ้นรนของผู้อื่น

นำไปสู่การขาดการสนับสนุนสำหรับการปฏิรูปที่จำเป็น และทำให้ปัญหาเชิงระบบยืดเยื้อเรื้อรัง

 

ยิ่งหากจะสร้างสังคมที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างจริงจังและครอบคลุม “พลังแห่งการฟัง” ยิ่งต้องถูกจัดเป็นลำดับต้นๆ ของวาระแห่งชาติ

เพราะการฟังคือรากฐานของ “ประชาธิปไตยแบบไตร่ตรอง”

อันหมายถึงการแสวงหาทางออกของสังคมผ่านการ “ถกแถลงอย่างสร้างสรรค์”

ฝรั่งเรียกว่า Deliberative Democracy และ Creative Disagreement

นั่นหมายความว่าเราต้องไม่ให้เสียงตะโกนโหวกเหวกกลบความสำคัญของ “ความเห็นอีกด้านหนึ่ง”

และความเห็นที่ย้อนแย้งนั้นจะเกิดประโยชน์สำหรับการแสวงหาทางออกของสังคมก็คือการฟัง

และต้องเป็นการฟังอย่างตั้งใจ…ด้วยความจริงใจที่จะเข้าใจความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง

เรียกว่า “ฟังอย่างแข็งขันและเห็นอกเห็นใจ” ก็ได้

“ประชาธิปไตยแบบไตร่ตรอง” คือการอภิปรายและการถกเถียงที่สมเหตุสมผลในหมู่ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

แตกต่างจากประชาธิปไตยรูปแบบอื่นๆ ที่อาจเน้นการลงคะแนนเสียงเพื่อให้ “เสียงข้างมาก” กำหนดทิศทางทุกอย่างเท่านั้น

แต่หากจะสร้างสังคมที่เป็นธรรมและสันติก็ต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการถกแถลงและโต้แย้ง ไตร่ตรอง

เพื่อนำไปสู่การสร้างฉันทามติ

นั่นแปลว่าจะต้องมีกระบวนการที่เสมอภาคในสาระจริงๆ

เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงของพลเมืองทุกคนต้องได้การ “รับฟัง”

และเป็นการรับฟัง “ด้วยความเคารพ”

เพื่อนำไปสู่การได้ “รับการพิจารณา” อย่างแข็งขันจริงจังและจริงใจ

นั่นคือสังคมจะต้องจัดความสำคัญของ “การฟัง” มากกว่า “การบอกเล่า”

 

เพราะการฟังเป็น “ทักษะ” ที่สำคัญในการสร้าง “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม”

ทักษะที่ว่านี้หมายความถึงการทำความเข้าใจมุมมองของผู้อื่น

นั่นคือการเปิดใจฟังเพื่อแสดงความเต็มใจที่จะรับรู้และทำความเข้าใจกับแนวคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง

ตามมาด้วยการใช้วิจารณญาณเพื่อรับรู้ข้อโต้แย้งโดยไร้อคติ… หรือมีอคติน้อยที่สุด

ที่สำคัญคือต้องฝึกปรือความอดทน รับฟังให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ลุกขึ้นแย้งทันทีที่หงุดหงิดฉุนเฉียวกับความเห็นต่าง

เมื่อฟังอย่างตั้งใจก็ย่อมจะตั้งคำถามแบบไตร่ตรองมากกว่าเป็นการตอบโต้เพียงเพื่อเอาชนะ

หากสร้างวัฒนธรรม “การฟังอย่างกระตือรือร้น” พลเมืองก็จะเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อปัญหาที่ซับซ้อน

เพราะยิ่งวันสังคมก็ยิ่งต้องเผชิญกับอุปสรรคของการปัญหาที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

ถ้า “ฟังอย่างตั้งใจ” ก็จะสกัดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิดหรือบิดเบือน

แก้ปัญหา fake news ที่กำลังกลายเป็นวิกฤตการสื่อสารของสังคมทุกวันนี้ได้

ถ้าเราฟังซึ่งกันและกัน แทนที่จะตะโกนใส่กัน เราก็จะพบว่าสังคมไม่จำเป็นต้องอยู่ในบรรยากาศของความขัดแย้ง

และความคิดเห็นที่แตกต่างก็ย่อมจะหาทางออกร่วมกันได้ด้วยการฟังก่อนพูด

ซึ่งจะนำไปสู่การพูดเพื่อจะนำไปสู่การกระทำเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน

มิใช่เพียงต้องการโต้เถียงเพื่อพิสูจน์ว่าตนเก่งกว่าอีกคนหนึ่งเท่านั้น

 

ผู้รู้บอกว่าปัญหาของมนุษย์มีอยู่ 3 อย่าง

ปัญหาของคุณ

ปัญหาของฉัน

และปัญหาของเรา

ถ้าสังคมมองว่าทุกอย่างคือ “ปัญหาของเรา” ไม่โยนว่าเป็นของคนอื่นหรือเฉพาะของตน

บางทีเพียงแก้ทัศนคตินี้ได้

ปัญหาหลายเรื่องอาจจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตาได้เลย

เพราะเราไม่เพียงแต่ฟัง

แต่จะ “ได้ยิน” อย่างชัดแจ้งอีกด้วย!

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ลุงป้อมออกแถลงการณ์ บี้นายกฯลาออกแสดงความรับผิดชอบ ย้อนตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจเคยเตือนแล้วภาวะผู้นำ ไม่ใช่เวทีมือสมัครเล่น
“รมว.นฤมล” ดึงภาครัฐ-เอกชน ลงนาม MOU ส่งเสริมการปลูกกาแฟ หนุนเพิ่มผลผลิต ตอบโจทย์ความต้องการในประเทศ ลดการนำเข้า ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไทย
ย้อนรอยประวัติศาสตร์อาวุธชีวภาพสุดสยอง (2)
สรุป บทแก้ต่าง ของ ธงชัย วินิจจะกูล ต่อ ก.ศ.ร.กุหลาบ
130 ปี ปฐมบทการปกครองท้องถิ่นไทย (พ.ศ.2440) จุดเริ่มต้นที่กลายเป็นปัญหาในระยะยาว
วัย 50+ ระวัง ‘งูสวัด’ อสรพิษร้าย (ป้องกันได้ด้วย ‘วัคซีน’)
มนุษย์สัมพันธ์กับท้องฟ้า
รูปร่าง Dad bod เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (128)
ปฐมคัมภีร์การแพทย์แดนมังกร (2)
เมษา พฤษภา 2553 มรภูมิ ‘ร้อน’ ลาดหลุมแก้ว คืนสุกดิบ ก่อนปะทะ ‘ใหญ่’
ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (70)