
คุยกับทูต | แดนนี แอนนัน เดนมาร์กกับเศรษฐกิจ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (1)

ชนัดดา ชินะโยธิน | Chanadda Jinayodhin
การสนทนาวันนี้เริ่มต้นด้วยเคล็ดลับของการมีรอยยิ้มที่สดใสอยู่เสมอ
“สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรมและอีกส่วนหนึ่งมาจากลักษณะนิสัยของชาวเดนมาร์ก โดยเดนมาร์กได้รับการยกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกบ่อยครั้งตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ ความสุขนั้นเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เช่น การเดินเล่นในป่าหรือขี่จักรยานไปทำงาน ชีวิตครอบครัว อัตราการว่างงานต่ำ การปกครองที่ดี การศึกษาฟรี (ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัย) และการดูแลสุขภาพฟรี เหล่านี้ ล้วนมีส่วนสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีและความสุขโดยรวมของชาวเดนมาร์ก”
นายแดนนี แอนนัน (H.E. Mr. Danny Annan) เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ตอบคำถามแรกเกี่ยวกับการมีรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารที่เป็นภาษาทางกายง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทรงพลัง และมีอิทธิพลยิ่งกว่าการสื่อสารรูปแบบไหนๆ โดยสามารถส่งผ่านความรู้สึก ความเชื่อมโยง และความเป็นมิตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด
เป็นความสุขในสไตล์ ฮุกกะ (Hygge) ปรัชญาการใช้ชีวิตของคนเดนมาร์ก ศิลปะในการสร้างความใกล้ชิดผูกพัน ความรู้สึกผ่อนคลายในจิตวิญญาณ การหาความสุขจากสิ่งรอบตัวในปัจจุบัน

เส้นทางสู่การเป็นนักการทูต
“ผมสนใจในกิจการต่างประเทศมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศ การแก้ไขความแตกต่าง และการทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลก เป็นความอยากรู้อยากเห็นเพื่อมองให้ไกลได้เข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง เป็นความหลงใหลทางการทูต และความปรารถนาที่จะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ
ระหว่างเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ผมออกเดินทางท่องเที่ยวเกือบ 2 ปี การทูตได้มาอยู่ในวิถีชีวิตของผมก่อนที่จะจบการศึกษา ซึ่งเป็นบทบาทของการเจรจา ความเคารพซึ่งกันและกัน และเป้าหมายร่วมกัน จึงจะสามารถสร้างโลกที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง
มีประสบการณ์เดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 1991 ต่อด้วยมาเลเซียและอินโดนีเซียในทริปเดียวกัน อีกสี่ปีต่อมาจึงเดินทางไปลาตินอเมริกา จีน และแอฟริกาใต้ และเดินทางกลับมาเยือนประเทศไทยอีกถึงสามครั้ง เมื่อสำเร็จการศึกษาในปี 1996 จึงเริ่มทำงานที่กระทรวงต่างประเทศทันที
ประสบการณ์ในการได้เห็นโลกนั้นมีค่าอย่างยิ่ง การสัมผัสกับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนับเป็นคุณค่าของการเดินทาง และไทยคือประเทศที่ 7 ที่ได้มาประจำทำงาน”

ความสัมพันธ์ระหว่างเดนมาร์กและไทยและชาวเดนมาร์กที่พักอยู่ในประเทศไทย
“เดนมาร์กและไทยมีความเป็นเพื่อนกันมากว่า 400 ปี เริ่มจากเรือสินค้าของเดนมาร์กมาถึงสยามในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ปัจจุบัน ความร่วมมือของเราครอบคลุมถึงการค้า วัฒนธรรม ความยั่งยืน และสัมพันธภาพระหว่างประชาชน
สำหรับชาวเดนมาร์ก ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่พิเศษมาก จากมรดกไทยอันล้ำค่า น้ำใจไมตรีในการต้อนรับอบอุ่นในทุกความหมาย และความเปิดกว้างของคนไทยทำให้ทุกวันเป็นวันพิเศษ
ความผูกพันพิเศษนี้สะท้อนให้เห็นได้จากตัวเลข
เมื่อปีที่แล้ว ชาวเดนมาร์ก 140,000 คนมาเยือนประเทศไทย และปัจจุบันมีชาวเดนมาร์กราว 4,000 ถึง 6,000 คนอาศัยอยู่ในประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน เดนมาร์กก็ภูมิใจที่ได้ต้อนรับชุมชนชาวไทยที่มีชีวิตชีวาซึ่งมีประชากรราว 14,000 คน
ในระดับส่วนตัว ผมรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งกับความรักที่ชาวเดนมาร์กจำนวนมากมีต่อประเทศไทย และเช่นเดียวกันกับความรักของชาวไทยที่มีต่อเดนมาร์ก”
การค้าและการลงทุนถือเป็นรากฐานที่สำคัญของความสัมพันธ์ไทย-เดนมาร์ก โดยเริ่มมีการติดต่อระหว่างกันครั้งแรกในสมัยอยุธยาเมื่อปี 1621 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ (His Majesty King Christian IV of Denmark and Norway) ในสมัยที่ราชอาณาจักรเดนมาร์กและราชอาณาจักรนอร์เวย์ยังรวมเป็นราชอาณาจักรเดียวกัน
ต่อมาทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 8 แห่งเดนมาร์ก (His Majesty King Frederick VIII of Denmark) โดยการลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี การค้า และการเดินเรือ 1858 (Treaty of Friendship, Commerce, and Navigation 1858) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1858
เดนมาร์กได้จัดตั้งสถานกงสุลที่กรุงเทพฯ ปี 1860 ในขณะที่ฝ่ายไทยได้เปิดสถานอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน เมื่อปี 1954 จวบจนกระทั่งปี 1958 ไทยจึงได้ยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเดนมาร์กขึ้นเป็นระดับเอกอัครราชทูต
หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว การค้าระหว่างสองราชอาณาจักรได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามเส้นทางเดินเรือ โดยเฉพาะการก่อตั้งบริษัท Andersen & Co. ในประเทศไทยเมื่อปี 1884 และบริษัทอีสต์เอเชียติก เมื่อปี 1897 ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขยายการค้าระหว่างสองประเทศและเพิ่มการส่งออกของไทยในภูมิภาคอื่น
นอกจากนี้ บริษัทด้านวิศวกรรมเดนมาร์กที่ได้เคยมีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยในอดีตทั้งระบบรถไฟไปจนถึงไฟฟ้า ก็มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานการลงทุนของเดนมาร์กในประเทศไทยในยุคปัจจุบันด้วย

ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและเดนมาร์ก
“ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของเราในปัจจุบันกำลังเฟื่องฟู บริษัทเดนมาร์กมากกว่า 100 บริษัท มาดำเนินกิจการในประเทศไทย โดยมีพนักงานประมาณ 50,000 คน และกำลังพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ในปี 2023 การส่งออกของเดนมาร์กมายังประเทศไทยเติบโตขึ้น 8.5% และการส่งออกของไทยไปยังเดนมาร์กมีมูลค่ารวมกว่า 31,400 ล้านบาท
ภาคส่วนต่างๆ เช่น พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาหาร เกษตรกรรม การเดินเรือ เช่น บริษัทเมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทเดินเรือยักษ์ใหญ่ของเดนมาร์ก และการดูแลสุขภาพ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก
บริษัทเครื่องประดับอัญมณี อย่าง Pandora ต้นกำเนิดเดนมาร์ก ช่างไทยผลิต สร้างด้วยแนวคิดโรงงานสีเขียวตามมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy & Environmental Design) ในจังหวัดลำพูน เป็นตัวอย่างของค่านิยมร่วมกันของเราในด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน”
ทุกวันนี้ Pandora มีโรงงานขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศไทย รวมถึงโรงงานที่ลำพูน ซึ่งได้รับมาตรฐาน LEED Gold สะท้อนแนวคิดด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีทีมช่างฝีมือชาวไทยกว่า 12,000 คน ที่ผลิตเครื่องประดับได้มากกว่า 200 ล้านชิ้นต่อปี กลายเป็นหนึ่งในโรงงานจิวเวลรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ความสำเร็จและเป้าหมายของเดนมาร์ก
เกี่ยวกับกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว
“เราเป็นผู้นำระดับโลกในด้านพลังงานสีเขียว เรามุ่งมั่นที่จะเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2050 และปลอดเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2030 ในด้านการผลิตไฟฟ้า
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเดนมาร์กเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลกด้วย
เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันเทคโนโลยีของเดนมาร์กในด้านพลังงานลมนอกชายฝั่ง ไฮโดรเจนสีเขียว และประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้กับพันธมิตรอย่างประเทศไทย นอกจากนี้ เดนมาร์กยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 0.1% ของการปล่อยทั่วโลก
ดังนั้น หากเราต้องการสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องเสริมความพยายามระดับนานาชาติที่มุ่งหวังที่จะทำให้โลกของเราพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลง”

เดนมาร์ก ประเทศแห่งไลฟ์สไตล์ ยั่งยืน และเมืองสร้างสรรค์
“แน่นอน โคเปนเฮเกนเป็นศูนย์กลางของการออกแบบเมืองที่สร้างสรรค์และการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ BLOX ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นำสถาปัตยกรรม การออกแบบ และนวัตกรรมเข้ามารวมกัน เป็นที่ตั้งของศูนย์สถาปัตยกรรมเดนมาร์ก (DAC) สำหรับการพัฒนาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม อาคาร และการพัฒนาเมืองรวมทั้งบริษัทสตาร์ตอัพสร้างสรรค์ที่ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบ ความยั่งยืน และการใช้ชีวิตในเมือง
BLOX สะท้อนแนวทางของเราที่มีต่อเมือง ไม่ใช่แค่ในฐานะสถานที่อยู่อาศัยเท่านั้น
แต่ยังเป็นระบบนิเวศที่มีชีวิตที่รองรับนวัตกรรมและความเป็นอยู่ที่ดีอีกด้วย”

บทบาทของเดนมาร์กในสหภาพยุโรป
“เดนมาร์กเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปที่กระตือรือร้นและสร้างสรรค์ เราสนับสนุนค่านิยมร่วมกันของสหภาพยุโรป ตั้งแต่ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ไปจนถึงความเป็นผู้นำด้านสภาพอากาศและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เดนมาร์กจะดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสหภาพยุโรป และเราเห็นว่านี่เป็นโอกาสสำคัญในการกระชับความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจสีเขียว ดิจิทัลไลเซชั่น (Digitalization) และความปลอดภัย
นอกจากนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีความคืบหน้าที่สำคัญในการสรุปข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทยในช่วงที่เดนมาร์กดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรป การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการค้าทวิภาคีของเราอย่างมาก
และนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่จับต้องได้ทั้งต่อสหภาพยุโรปและประเทศไทย”