เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (18) วิถีแห่งสงครามของกองทัพรัสเซีย

25.06.2025

ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข

เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (18)

วิถีแห่งสงครามของกองทัพรัสเซีย

“กองทัพรัสเซียในยูเครนปัจจุบันดำเนินยุทธศาสตร์ที่มีความคล้ายคลึงกับอดีตอย่างมาก คือการใช้ความเหนือกว่าในเชิงจำนวนที่มีอยู่อย่างท่วมท้น ทั้งในส่วนของกำลังพลและระบบอาวุธ เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ [ของการทำสงคราม] บนภาคพื้นดิน”

Stavros Atlamazoglou (2025)

ผู้สื่อข่าวด้านการทหาร

หากย้อนกลับไปทำความเข้าใจกับชุดวิธีคิดทางทหารของรัสเซียที่ใช้ในการดำเนินการสงครามในยูเครนแล้ว เราจะเห็นถึงอิทธิพลทางความคิดที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์การสงครามของรัสเซียที่ดำรงอยู่ในหมู่นายทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทหารในระดับสูงที่มีส่วนในการวางแผนสงคราม ซึ่งเราอาจจะเรียกสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้นในทางทหารเช่นนี้ว่า “วิถีแห่งสงคราม” ของรัสเซีย (The Russian Way of War) และวิถีเช่นนี้มีส่วนอย่างมากในการสร้าง “วัฒนธรรมทหาร” (military culture) ให้เกิดขึ้นในกองทัพของประเทศรัสเซียตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

หากกล่าวในทางทฤษฎีแล้ว วิถีแห่งสงครามเช่นนี้วางอยู่บนรากฐานของ “คุณลักษณะทางวัฒนธรรม” (cultural attributes) ของแต่ละประเทศ หรืออีกนัยหนึ่งนายทหารแต่ละนายล้วนเป็นผลผลิตของคุณลักษณะทางวัฒนธรรมเช่นนี้ อันเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างให้เกิดวัฒนธรรมทหารของแต่ละกองทัพอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นได้จากการคิด การวางแผน และการดำเนินการตามแผน

อิทธิพลที่สำคัญของวัฒนธรรมทหารสะท้อนผ่านการกำหนดทางเลือกในแผนยุทธศาสตร์ หรือที่เรียกในทางทฤษฎีว่า “การเลือกทางยุทธศาสตร์” (strategic choices) ในการทำสงคราม อันอาจกล่าวได้ว่า กระบวนการทำสงครามของแต่ละรัฐ คือภาพสะท้อนของวัฒนธรรมทหารที่ดำรงอยู่ภายในกองทัพนั้น

วิถีแห่งสงคราม

ด้วยความที่รัสเซียเป็นรัฐมหาอำนาจใหญ่ ที่มีประชากรจำนวนมาก จึงสามารถสร้างกองทัพขนาดใหญ่ได้ โดยมีทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก และดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ยุโรปเสมอมาถึงสถานะความรัฐมหาอำนาจใหญ่ของจักรวรรดิรัสเซียในการเมืองและการสงครามของรัฐยุโรป

ในเงื่อนไขเช่นนี้ การดำเนินการในแผนสงครามจึงให้ความสำคัญไม่มากนักกับอัตราการสูญเสียกำลังพลในสนามรบ เพราะเชื่อในความเป็นประเทศใหญ่ว่า รัฐบาลรัสเซียสามารถหา “จำนวนคน” ในประเทศ มาเป็นทหารให้กับกองทัพได้เสมอ ผลจากเงื่อนไขเช่นนี้จึงทำให้ผู้นำทหารสามารถเปิดการรบขนาดใหญ่ได้ ด้วยการ “ทุ่มกำลังพล” ที่มีจำนวนอย่างท่วมท้นในเชิงปริมาณ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสูญเสียในการรบแต่ละครั้ง

ความคิดเช่นนี้ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ในยุค “กษัตริย์นิยม” จนถึงยุค “สังคมนิยม” และดำเนินสืบเนื่องเรื่อยมาจนถึงยุค “ปูตินนิยม” ในปัจจุบัน แต่ก็มิได้หมายความว่านักการทหารรัสเซียคิดในลักษณะเช่นนี้ทุกนาย หรือผู้นำทหารรัสเซียในประวัติศาสตร์สงคราม ชนะด้วยปัจจัยในเชิงปริมาณที่มีความเหนือกว่าของจำนวนอย่างท่วมท้นแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้นำทหารรัสเซียเคยชนะสงครามด้วยเงื่อนไขที่กองทัพตนเป็นฝ่ายที่มีจำนวนน้อยกว่ามาแล้ว

แต่ถ้าพิจารณาจากวิถีแห่งสงครามแล้ว คงต้องยอมรับว่ากองทัพรัสเซียเน้นในเชิงปริมาณ ที่มีนัยถึงความเหนือกว่าของจำนวนกำลังพลและกำลังอาวุธอย่างท่วมท้น จนกลายเป็นความเชื่อ

ดังนั้น ผลพวงจากวิถีสงครามเช่นนี้ ให้ผู้นำทางทหารของรัสเซียพร้อมที่จะทุ่มจำนวนทหารอย่างเต็มที่ เพื่อให้ตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทางทหารที่ต้องการได้ หรือหากมองในบริบทของสงครามยูเครนแล้ว จะเห็นได้ถึงแนวคิดทางทหารในแบบ “แลกคนกับพื้นที่” (exchanges men for territory) หรือนำไปสู่หลักนิยมทางทหารที่เชื่อว่า “ปริมาณคือคุณภาพในตัวเอง” เพราะจำนวนที่มีมากอย่างท่วมท้นนั้น จะแปรเปลี่ยนเป็นความเหนือกว่าในเชิงคุณภาพได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหลักนิยมเช่นนี้จะทำให้สงครามมีลักษณะที่นองเลือดอย่างมาก

ภาพของคำอธิบายเช่นนี้ เห็นได้ชัดจากสงครามยูเครนในปี 2024 ที่กองทัพรัสเซียเป็นฝ่ายรุกมากขึ้น และเป็นฝ่ายที่ได้รับตอบแทนในทางยุทธวิธี (tactical gains) ในแต่ละเดือน แต่ก็เป็นผลตอบแทนที่ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงมาก จากความสูญเสียของกำลังพลรัสเซีย และความสูญเสียเช่นนี้เป็นประเด็นที่ไม่ได้รับความสนใจจากนายทหารระดับสูงของกองทัพรัสเซียเท่าที่ควร เนื่องจากการยอมรับปัญหาเช่นนั้น จะเป็นภาพสะท้อนถึงความอ่อนแอของรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ผู้นำรัสเซียมีความเชื่อมั่นอย่างมากว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกองทัพรัสเซียจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าในสนามรบ เพราะรัสเซียจะสามารถดำรงสภาพในสนามรบได้นานกว่ายูเครน ซึ่งมีนัยรวมถึงมี “ความอดทน” ที่อยู่กับการทอนกำลังได้นานกว่าฝ่ายตะวันตก อีกทั้งวิถีแห่งสงครามของรัสเซียเช่นนี้จะดำรงอยู่ในฐานะ “รัฐผู้ชนะ” โดยวิถีนี้จะเปิดให้เห็นถึงความอ่อนแอของสหรัฐและของโลกตะวันตก (ที่มีมากกว่ารัสเซีย) ซึ่งมุมมองเช่นนี้ในอีกส่วนคือ การสร้างความรู้สึกว่ารัสเซียไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดสันติภาพในยูเครนแต่อย่างใด เพราะในที่สุดแล้วกองทัพรัสเซียจะเป็นผู้ชนะในสงคราม โดยเฉพาะกองทัพรัสเซียยังสามารถดำเนินการสงครามต่อไปได้ แม้จะประสบความสูญเสียอย่างมากก็ตาม

สุสานทหาร

การใช้หลักนิยม “ปริมาณคือคุณภาพ” ในการสงครามนั้น มีนัยโดยตรงถึงการทุ่มกำลังพลเข้าสู่สนามรบ ที่เชื่อว่า “ความเหนือกว่าในเชิงปริมาณ” อย่างมากนั้น คือชัยชนะในตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันความเหนือกว่าของรัสเซียต่อยูเครนคือ อัตราส่วน 3:1 แต่อัตราความสูญเสียของรัสเซียน่าจะสูงกว่ายูเครน

ในตอนกลางปี 2023 มีรายงานการประเมินของกระทรวงกลาโหมอเมริกัน ปรากฏในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สว่า ทหารรัสเซียเสียชีวิตราว 120,000 นาย และบาดเจ็บราว 170,000-180,000 นาย หรือกองทัพรัสเซียในช่วง 18 เดือนของสงครามนั้น ประสบความสูญเสียประมาณ 300,000 นาย สำหรับกองทัพยูเครนมีทหารเสียชีวิตราว 70,000 นาย และบาดเจ็บราว 100,000-120,000 นาย หรือกองทัพยูเครนในช่วงเวลาเดียวกันมีความสูญเสียประมาณ 190,000 นาย หรือหากนับตัวเลขประเมินสูงสุดในช่วง 18 เดือนของสงคราม สนามรบทอนกำลังในยูเครนทำลายกำลังพลของคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายไปเกือบครึ่งล้านคน (“Ukraine War Causalities Near Half a Million, US. official Say,” in nytimes.com/2023/08/18)

ด้วยความสูญเสียเป็นจำนวนมากของกองทัพรัสเซียต่อยูเครนอยู่ในอัตราราว 2:1 (รัสเซีย 300,000 : ยูเครน 190,000) ดังนั้น สิ่งที่ประธานาธิบดีปูตินทำได้ง่ายที่สุดในการเพิ่มกำลังพลได้อย่างรวดเร็วก็คือ การขยับเพดานอายุของผู้ที่จะถูกเกณฑ์ทหารให้สูงขึ้น แต่การทำเช่นนี้ย่อมมีผลกระทบต่อสถานะของประธานาธิบดีปูตินในการเมืองรัสเซียเอง

ความสูญเสียของทหารรัสเซียเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ส่วนหนึ่งสะท้อนจากตัวเลขของจำนวนระดับนายทหารที่เสียชีวิตในยูเครนมีจำนวนราว 5,000 นาย (ตัวเลขประมาณการจากวันแรกของสงครามจนถึงเดือนเมษายน 2025)

อย่างไรก็ตาม จำนวนการเสียชีวิตของนายทหารในช่วงแรกของสงครามอยู่ราวร้อยละ 10 และลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่ในอัตราราวร้อยละ 2-3 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2024

ความสูญเสียที่สำคัญอีกส่วนคือ การเสียชีวิตของนายทหารระดับนายพลในสนามรบ ส่วนใหญ่มีตำแหน่งในระดับรองผู้บัญชาการของหน่วยในกองทัพบก (นายทหารระดับพลตรี) และรองผู้บัญชาการกองเรือทะเลดำ นายทหารที่ยศสูงสุดที่เสียชีวิตในสนามรบที่ยูเครนเป็นพลโทของกองทัพบก (รองผู้บัญชาการเขตการทหารภาคใต้-the Southern Military District)

ความสูญเสียดังกล่าวมีแนวโน้มที่ลดลง โดยเฉพาะลดลงนับจากราวเดือนตุลาคม 2024 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวอย่างมากในทางยุทธวิธีของกองทัพรัสเซีย กระนั้น ตัวเลขการเสียชีวิตของทหารรัสเซียนับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2025 นั้น ทหารรัสเซียเสียชีวิตทั้งหมด 84,492 นาย

นอกจากนี้ หากมีจำแนกอายุบางส่วนแล้ว จะเห็นอายุของทหารที่เสียชีวิต 5 อันดับแรก ดังนี้

– ทหารที่เสียชีวิตมากเป็นลำดับที่ 1 (10,511 นาย) มีอายุระหว่าง 33-35 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตมากเป็นลำดับที่ 2 (10,169 นาย) มีอายุระหว่าง 36-38 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตมากเป็นลำดับที่ 3 (9,306 นาย) มีอายุระหว่าง 30-32 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตมากเป็นลำดับที่ 4 (9,275 นาย) มีอายุระหว่าง 39-41 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตมากเป็นลำดับที่ 5 (8,568 นาย) มีอายุระหว่าง 42-44 ปี

ตัวเลขข้างต้นชี้ให้เห็นว่า ทหารรัสเซียที่มีอายุ 30-44 ปี เป็นกลุ่มคนที่เสียชีวิตมากที่สุดในสนามรบที่ยูเครน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 47,829 นาย และทหารที่มีอายุจาก 21-35 ปี จะมีจำนวนการเสียชีวิตมากขึ้นไปตามตัวเลขของอายุ

ส่วนทหารที่เสียชีวิตน้อยที่สุด 5 อันดับแรกในสงครามยูเครน ซึ่งในจำนวนนี้ ทหารที่มีอาวุโสด้านอายุจะมีอัตราการเสียชีวิตน้อยลงตามลำดับของอายุ ได้แก่

– ทหารที่เสียชีวิตน้อยเป็นลำดับที่ 1 (228 นาย) มีอายุระหว่าง 63-65 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตน้อยเป็นลำดับที่ 2 (653 นาย) มีอายุระหว่าง 60-62 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตน้อยเป็นลำดับที่ 3 (1,305 นาย) มีอายุระหว่าง 57-59 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตน้อยเป็นลำดับที่ 4 (1,988 นาย) มีอายุระหว่าง 54-56 ปี

– ทหารที่เสียชีวิตน้อยเป็นลำดับที่ 5 (2,529 นาย) มีอายุระหว่าง 18-20 ปี

ทหารที่มีอาวุโสด้านอายุจะมีสัดส่วนการเสียชีวิตน้อยลง นับจากอายุ 36 ปีเป็นต้นไป จนถึงทหารอายุ 65 ปี (ทหารยิ่งมีอายุมากขึ้น ยิ่งมีอัตราเสียชีวิตน้อยลง) หรือในส่วนของทหารที่มีอายุมากนั้น อาจจะไม่ใช่ทหารที่อยู่ในแนวรบโดยตรง อันทำให้มีโอกาสเสียชีวิตน้อยลง

ทหารนิรนาม

จากตัวเลขข้างต้น แม้จะเป็นด้านเดียวของสงครามคือ ความสูญเสียของกองทัพรัสเซีย แต่ในความเป็นจริงของสงครามแล้ว รัฐคู่พิพาทย่อมประสบความสูญเสียมากเช่นกัน จนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงกับกล่าวว่า สงครามยูเครนเป็น “สงครามที่นองเลือดที่สุด” (the “very bloody war” กล่าวในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2025) โดยทรัมป์ได้กล่าวว่า จำนวนความสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่ายนั้น สูงเป็นหลักล้านคน

คำกล่าวของทรัมป์ถึงความสูญเสียเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะในเดือนมกราคม 2025 ที่เขาเข้ารับตำแหน่งนั้น ทรัมป์ได้กล่าวเตือนถึงความสูญเสียอย่างหนักของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ให้คำตอบกับเราประการเดียวว่า สงครามทอนกำลังกลืนกินชีวิตของทหารโหดร้ายเสมอ!



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ปุสาคโม (13-19 กรกฎาคม 2568)
คาดเดาไม่ออก บอกไม่ถูก | ลึกแต่ไม่ลับ
เริ่มแล้ว! “Thai–Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย–จีน” เทศกาลประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งปี
ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้