เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

รักประชาธิปไตย ต้องอดทน | คำ ผกา

04.07.2025

คำ ผกา

รักประชาธิปไตย

ต้องอดทน

อยู่ๆ การเมืองไทยก็มีสีสันอันเหลือเชื่อ

เริ่มจากการปรับ ครม. ที่พรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยมาคุมเอง อันนำไปสู่การถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย

และในระหว่างที่กำลังจัดทัพจัดโผ ครม.ใหม่กับการเป็นรัฐบาลที่ดูเหมือนเสียงจะปริ่มน้ำแต่ไม่ปริ่ม เพราะนอกจากพรรคร่วมที่เหลือยังอยู่ครบ ยังมีเสียงมาเติมจากฟากฝั่งของฝ่ายค้านที่แสดงความประสงค์จะย้ายมาอยู่กับพรรคร่วมที่เป็นขั้วของรัฐบาล และว่ากันว่าที่จะไหลมาจากภูมิใจไทยก็ใช่น้อย

ในช่วงชุลมุนนั้นเองก็ปรากฏคลิปเสียงของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร คุยกับฮุน เซน

คนที่ตั้งใจปล่อยคลิปนี้คงตั้งใจจะให้รัฐบาลระส่ำ และทำให้แพทองธารถูกมองว่าไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีวุฒิภาวะ เจรจาแล้วเพลี่ยงพล้ำ

และดังที่ฉันเขียนไปในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์แพทองธาร” นั่นคือคลิปเสียงนี้ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้ว่าแพทองธารไม่ใช่นายกฯ หน่อมแน้ม

แพทองธารไม่ได้เป็นหุ่นเชิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

และนายกฯ เจนวายมีแนวคิดที่ก้าวหน้าพอที่จะไม่ขับเคลื่อนประเทศไปด้วยแนวคิดล้าหลังคลั่งชาติ

เนื้อหาในการเจรจาก็ไม่ได้สัญญาว่าจะยกผลประโยชน์ของประเทศไทยให้กับกัมพูชา

ในอีกด้านหนึ่งทีมเจรจา JBC ของไทยก็ยืนยันกรอบการเจรจาเดิม นั่นคือ ใช้กลไกทวิภาคีในการหาทางออกร่วมกันและไม่รับเขตอำนาจศาลโลก และประเทศไทยก็ประกาศไม่รับเขตอำนาจศาลโลกมายาวนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งประกาศ

ยืนยันการอยู่บนข้อตกลง MOU 43

ยืนยันว่าจะต้องหาทางออกอย่างสันติและไม่มีความจำเป็นต้องมาขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องนี้ การขึ้นศาลโลกของกัมพูชาก็คือการตบมือไปข้างเดียวเท่านั้น

และอย่างที่ฉันพูดและเขียนว่าการปล่อยคลิปของฮุน เซน คือการฆ่าตัวตายในเวทีโลก เพราะฮุน เซน กำลังละเมิดมารยาทของการเจรจาระหว่างผู้นำ ที่การยกหู “คุย” เป็นเรื่องที่ทำกันอย่างปกติ เช่น การช่วยเหลือตัวประกันคนไทยทั้งในวิกฤตที่อิสราเอล ทั้งที่พม่า ก็ล้วนแต่ต้องใช้การเจรจาทางลับ และการยกหูหา “มิตรประเทศ” เพื่อขอความช่วยเหลือทั้งสิ้นโดยตั้งอยู่บนความเข้าใจร่วมกันว่าจะไม่มีการเปิดเผยว่าใครพูดอะไร

การละเมิดกฎนี้ของฮุน เซน จึงเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือและเครดิตของฮุน เซน ในสายตาชาวโลกและผู้นำทั่วโลก

เพราะคงไม่มีใครอยากต่อสายคุยกับฮุน เซน อีก

พร้อมกันนั้นประเทศกัมพูชาก็ถูกเปิดโปงจากสำนักข่าวต่างประเทศและหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนว่าเป็นศูนย์กลางของธุรกิจสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์

นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศกัมพูชาติดลบมากขึ้นไปอีก

เมื่อขนมผสมน้ำยาเช่นนี้จึงทำให้รัฐบาลแพทองธารมีความชอบธรรมในการละเลย “สัมพันธภาพ” ทั้งในระดับส่วนตัวและระดับชาติ

วางคำว่าเกรงใจลงและเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานที่มั่นในประเทศกัมพูชาได้ทันที

และได้รับการตอบรับสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาไปพร้อมๆ กับที่รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแบนชาวกัมพูชาไม่ให้เข้าประเทศ

โดยภาพรวม รัฐบาลจึงกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้งหลังจากถูกเขย่าแรงและทำให้กองแช่งรัฐบาลก็ฝันเปียกจากที่มีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่า แพทองธารไปแน่ รัฐบาลไปแน่ ม็อบมาไล่แน่ๆ

แพทองธารหมดความชอบธรรมแล้วต้องลาออกต้องยุบสภา

ที่น่าประหลาดใจคือ ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนทั้งที่เป็น ส.ส.ในปัจจุบัน ทั้งที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่างก็พอกันออกมาขอให้นายกฯ แพทองธารยุบสภา อ้างว่าการยุบสภาอย่างน้อยก็อยู่ในครรลองประชาธิปไตย ดีกว่าเกิดรัฐประหาร

คำถามของฉันคือ แล้วทำไมถึงคิดว่าจะเกิดการรัฐประหาร และการไม่ยุบสภาก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเอาไปใช้เพื่อการรัฐประหาร เพราะการพูดแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการบอกว่า เธอถูกข่มขืนเพราะแต่งตัวโป๊

การยุบสภาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสภาทำงานไม่ได้ โหวตกฎหมายไม่ผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยแพ้โหวตทุกครั้งเพราะฝ่ายรัฐบาลด้วยกันไม่โหวตให้ พ.ร.บ.งบประมาณถูกคว่ำ

หากเกิดเรื่องแบบนี้แปลว่าสภาไปต่อไม่ได้ นายกฯ ต้องตัดสินใจยุบสภา หรือรัฐบาลใกล้หมดวาระ อาจจะชิงยุบสภาเพื่อความได้เปรียบในการเลือกตั้ง ก็ถือเป็นแท็กติกทางการเมือง

แต่ ณ วันนี้ สภายังทำงานได้ นายกฯ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องยุบสภาเลย หากตัดสินใจยุบก็เท่ากับทิ้งความรับผิดชอบ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ช่าง

อย่าลืมว่า ประเทศไทยมีคิวต้องไปเจรจาภาษีกับสหรัฐ และหากเป็นรัฐบาลรักษาการการเจรจานี้ก็ต้องถูกยกเลิกไป

เรื่องหวยเกษียณที่ยังรอโหวตอีกสองวาระ และอย่าลืมว่า พ.ร.บ.หวยเกษียณ เป็นกฎหมายที่ผ่านสภาแบบที่ไม่มีใครยกมือค้านแม้แต่เสียงเดียว

หากยุบสภาไป กฎหมายที่ได้รับฉันทามติอย่างท่วมท้นนี้ก็ต้องล่าช้าไปโดยใช่เหตุ

ดังนั้น การเรียกร้องให้นายกฯ ยุบสภาของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าก้าวหน้านั้นจึงเป็นการส่งเสียงที่ล้าหลังอย่างยิ่ง เพราะทำไปบนเกมการเมืองในแบบที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ที่ประชาชนพึงได้รับเลยแม้แต่น้อย

นายกฯ ต้องลาออกไหม?

ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องลาออก อยู่ให้โลกจดจำไปเลยว่าในขณะที่มาตรฐานสากลเขาตั้งคำถามว่านายกฯ หญิงของไทยถูก voice scam เรามีมาตรการอะไรจะปกป้องผู้หญิงที่เข้ามามีบทบาทนำทางการเมืองอันสุ่มเสี่ยงที่ผู้หญิงเหล่านี้จะถูกพวก “ผู้ชายบ้าอำนาจ” กำจัดอยู่เสมอ เพราะลึกๆ พวกเขาทนเห็นผู้หญิงมีอำนาจไม่ได้

หากมาตรฐานสากลเป็นเช่นนั้น แต่มาตรฐานไทย ปัญญาชน คนหัวก้าวหน้า คนหัวล้าหลัง พากันบอกว่านายกฯ อ่อนด้อย บกพร่อง พากันไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นวิบากกรรมของสังคมไทย และให้โลกจดจำจารึกไว้เถอะว่า นายกฯ ไทยคนหนึ่งต้องถูกถอดถอนเพราะจัดรายการทำอาหาร

อีกคนถูกถอดถอนเพราะตั้งรัฐมนตรีที่เคยมีคดีอันไม่แน่ชัดว่าผิดจริงหรือไม่

และอีกคนจะถูกถอดถอนเพราะถูกตาแก่คนหนึ่งเอาคลิปเสียงการเจรจาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติมาเผยแพร่

การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นภาระและความรับผิดชอบของศาลรัฐธรรมนูญ แพทองธารไม่มีหน้าที่พิพากษาตนเองก่อนศาล

การอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถือเป็นภาระของแพทองธารที่ต้องรับผิดชอบต่อเสียงของประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยจนได้ ส.ส. 141 คน จนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

อยู่ต่อไปเรื่อยๆ คะแนนนิยมตกลงเรื่อยๆ ควรชิงยุบสภาหรือลาออกหรือไม่

คำตอบคือ นายกฯ แพทองธารคงไม่ยุบสภาหรือลาออกเพราะ “ความหวังดี” จากฝ่ายค้าน

แต่ธรรมชาติของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลคือหากฟ้าไม่ถล่ม ดินไม่ทลายก็ต้องพยายามยืนหยัดทำงานต่อไปเรื่อยๆ และไม่มีรัฐบาลไหนบนโลกใบนี้ที่จะยุบสภาตอนที่คะแนนนิยมของตัวเองยังไม่เป็นที่น่าพอใจ

การยุบสภาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าตนเองอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบแล้ว ดังนั้น หากจะมีการยุบสภาก็เกิดขึ้นได้สองกรณี คือ พรรคเพื่อไทยคุมเสียงในสภาไม่ได้ ต้องรับผิดชอบด้วยการยุบสภา หรือพรรคเพื่อไทยประเมินหากมีเลือกตั้งตนเองได้เปรียบก็จะตัดสินใจยุบสภา

ดังนั้น การยุบสภาจะไม่มีวันเกิดเพียงเพราะฝ่ายค้านบอกว่า “ฉันหวังดีกับเธอนะ เธออย่าดันทุรังเลย เธอยุบเถอะ”

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยถอดถอนแพทองธารออกจากตำแหน่งนายกฯ โลกก็ไม่แตกอยู่ดี เพราะพรรคเพื่อไทยก็จะเสนอชื่อคุณชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ ถ้าสภาโหวตรับ ก็ทำงานกันต่อ ถ้าสภาไม่ยกมือให้ก็ต้องเสนอชื่อแคนดิเดตคนอื่นๆ ในลำดับถัดมา

หากนายกฯ คนต่อไปชื่อ ชัยเกษม สภาก็ยังทำงานต่อ กฎหมายต่างๆ ที่ค้างคาก็ดำเนินการต่อ งานบริหารก็ดำเนินต่อไป ไม่มีคำว่าสุญญากาศ

เว้นแต่เป็นความปรารถนาของสังคมไทย สื่อมวลชนไทย ฝ่ายค้าน ที่อยากให้ทุกอย่างอยู่ในสุญญากาศและนั่งสะกดจิตกันทุกวันว่า วิกฤตแล้ว บ้านเมืองไปไม่ได้ ถึงทางตัน และพยายามจะพาประเทศไปเข้ามุม

โดยหวังลึกๆ ว่า เผื่อตัวเองจะได้แทรกตัวเข้ามาอยู่ในอำนาจกับเขาบ้าง

ฉันพูดและเขียนไว้บ่อยมากว่า คนไทยและสังคมไทยต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงว่า “การไม่ชอบรัฐบาลหรือแม้แต่การเกลียดรัฐบาลคือส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ในสังคมประชาธิปไตย”

เพราะโดยแก่นสารของประชาธิปไตยไม่ต้องการการสืบทอด ผูกขาดอำนาจ

การเลือกตั้งนั้นตั้งอยู่บนจิตวิทยาการเมืองอันหนึ่ง นั่นคือ คนเรามีแนวโน้มจะเบื่อรัฐบาลหากรัฐบาลนั้นมีอำนาจไปเรื่อยๆ เพราะคนเราชอบความเปลี่ยนแปลง ต่อให้รัฐบาลแก่งแค่ไหน วันใดวันหนึ่งประชาชนก็เบื่อ

การวางกติกาให้เลือกตั้งทุกๆ สี่ปีก็เพราะมันเป็นวงจรของประชาชนที่จะเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนผู้นำ ในบางประเทศอาจเป็นรัฐบาลจากพรรคการเมืองเดิม แต่ตัวนายกฯ นั้นเปลี่ยนตลอดเวลา พรรคแอลดีพีของญี่ปุ่น พอเห็นท่าไม่ดี ก็แค่เปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ที่เหลือเหมือนเดิม

เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฝรั่งเศส ประชาชนเลือก ส.ส. กับประธานาธิบดีที่มาจากพรรคตรงกันข้าม

บางประเทศไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ผู้นำคนเดิมห้ามอยู่ในตำแหน่งเกินสองสมัย เพราะกลัวว่าหากเจอผู้นำที่ประชาชนชอบมากๆ แล้วเลือกให้อยู่ในตำแหน่งสามสมัยติดกันสิบสองปี จะเข้าข่ายสืบทอดอำนาจ เข้าข่ายการฉ้อฉลในระบบ คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย จึงห้ามไว้ก่อนว่าไม่ให้อยู่ในตำแหน่งเกินสองสมัย

ดังนั้น ฉันไม่แปลกใจที่คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยจะตก ไม่แปลกใจที่คะแนนนิยมของนายกฯ แพทองธารจะตก เพราะเป็นธรรมชาติของการเมืองประชาธิปไตย ที่รัฐบาลไม่ได้คุมสื่อ ปิดปากสื่อ หรือบังคับให้แต่งเพลงอวยผู้นำยี่สิบสี่ชั่วโมง ปิดหูปิดตาไม่นำเสนอข่าวด้านลบของรัฐบาลเลย ไม่มีการล้างสมองคน อนุญาตให้สื่อด่ารัฐบาล ด่านายกฯ ได้ยี่สิบห้าชั่วโมงต่อวัน

ความสัมพันธ์ของประชาชนกับรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจึงเหมือนกบเลือกนายนั่นแหละ อยู่กับแดงก็ว่าส้มดี อยู่กับส้มก็ว่าน้ำเงินดี ได้น้ำเงินก็มาคิดถึงแดง ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ผลการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ และไม่มีใครผูกขาดอำนาจ

และสิ่งนั้นเรียกว่า “สุขภาพที่ดีของประชาธิปไตย”

ถามว่าทำไมนางแบกยอมรับว่าคะแนนนิยมสู้พรรคฝ่ายค้านไม่ได้?

เพราะถ้ามันจริงมันก็คือความจริง นางแบกอย่างฉันไม่หลอกตัวเอง เพราะรู้จักธรรมชาติและจิตวิทยาการเมืองพื้นฐานดังที่ได้เขียนไปแล้วข้างต้น

ย้อนกลับไปยุคทักษิณ ชินวัตร ฟีเว่อร์หากไม่มีการรัฐประหารปี 2549 นั่งนวดความคิดของสังคมอีกนิดเดียว เลือกตั้งอีกครั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้เป็นนายกฯ แล้ว เพราะกระแสเบื่อทักษิณกำลังมาแรง

แต่หากโพลไม่แม่นยำก็ไม่เสียหายอะไร ดีเสียอีกจะได้เร่งมือทำงานให้คะแนนนิยมกระเตื้องขึ้น การเป็นรัฐบาลไม่ได้แปลว่าทำดี ทำถูก ทำถึงไปหมดทุกเรื่อง หลายๆ เรื่องรัฐบาลห่วย รัฐบาลอ่อน คะแนนนิยมตกก็ถูกแล้ว รัฐบาลก็มีหน้าที่ทำงานเพื่อกอบกู้คะแนนนิยม ถ้าทำได้ก็ดี ถ้าทำไม่ได้ คราวหน้าแพ้เลือกตั้ง ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน

ตรรกะของประชาธิปไตยมีแค่นี้

ไม่เสียใจเหรอ พรรคที่ตัวเองเชียร์คะแนนตก?

เอิ่ม พรรคการเมืองนะคะไม่ใช่ทีมฟุตบอลที่เราเชียร์!

ฉันขอเขียนอีกเป็นครั้งที่ร้อยว่า อย่าอินกับพรรคที่ตนเองเชียร์จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เราเอาใจช่วยมากที่สุดคือความยั่งยืนต่อเนื่องของประชาธิปไตยในสังคมไทยต่างหาก

พรรคเพื่อไทยจะแพ้หรือชนะ ไม่สำคัญเท่ากับสังคมไทยจะประคองการเลือกตั้งให้ได้สัก 12 ปีต่อเนื่องหรือไม่?

ถ้าทำได้ นั่นคือการเติบโตของพวกเราทุกคน และไม่เกี่ยวกับชัยชนะของพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ไม่เกี่ยวกับ ‘ฮุน เซน’
ในระบอบป่วยติดเตียง รัฐบาลเป็ดง่อย
ใช่-ไม่ใช่
จับตา อุดมศึกษาไทย ในสภาวะ ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ เมื่อการเมืองรุกล้ำพื้นที่พัฒนาประเทศ
Ryan Gander นักท้าทายผู้ชมให้คลี่คลายปริศนาซับซ้อนทางศิลปะ
ผู้ว่าแบงก์ชาติ (คนใน)
คุยกับทูต | โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ครบรอบ 249 ปี วันประกาศอิสรภาพสหรัฐ (จบ)
จีนหนุนสยาม ยึดอยุธยาเพื่อจีน
อาณาเขตของความอร่อย
ข้าชื่อซารุโทบิ : โลกสองใบที่ไม่มีวันบรรจบ
บวชนาค พิธีกรรมสัญลักษณ์ เปลี่ยนผ่าน คนพื้นเมือง ให้เป็นอารยชน
ลืมจำ…ลืมจริง?