เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / รักแลกภพ

07.08.2020

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

 

รักแลกภพ

 

จบบริบูรณ์ไปแล้วครับ สำหรับละคร “รักแลกภพ” ลาจอไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้เอง ท่ามกลางกระแสความสนใจของแฟนๆ ละครที่ติดตามมาร่วม 2 เดือน

ย้อนเล่าความกันอีกครั้งว่า ละครเรื่อง “รักแลกภพ” เป็นความร่วมมือกันระหว่าง เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย กับช่องวัน 31 จับมือกันสร้างละครแนวโรแมนติกคอมเมดี้ผสมแฟนตาซี ที่มีฉากหลังของเรื่องเป็นสมัยรัชกาลที่ 6 และยุคปัจจุบัน โดยตัวละครหลักได้ย้อนเวลาไป 100 ปี คือในปี พ.ศ.2463

เรื่องราวของละครมีต้นเหตุของปัญหา จากการที่พระเอกยุคปัจจุบันชื่อว่า “พีท” ซึ่งมีความฟุ้งเฟ้อ ใช้ชีวิตสุขสบายในขณะที่เป็นหนี้เป็นสิน เมื่อถูกเร่งรัดจนถึงขั้นจะถูกเจ้าหนี้ยึดคอนโดฯ ยึดรถ ก็มีอันหายตัวไปอยู่ในสมัย พ.ศ.2463 ดังว่า

ที่นั่นเขาได้เจอกับบรรพบุรุษของเขาชื่อว่า “เพียร” เป็นเจ้าหน้าที่ของคลังออมสิน ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยรัชกาลที่ 6 ต่างคนต่างได้เรียนรู้ชีวิตของกันและกัน

โดยเฉพาะพีท เขาได้เรียนรู้ถึงวิถีที่เรียบง่ายดีงาม มีแบบแผนของคนรุ่นเก่า โดยเฉพาะการรู้จักเก็บออม ขยันทำกิน ซื่อสัตย์ ทำให้เขาได้คิดและสำนึกตัว

ทั้งสองตัวละครนี้ได้แลกยุคกันครับ คุณทวดเพียรเลยได้มาเจออะไรต่อมิอะไรในยุคสมัยนี้ อย่างเห็นตึกรามใหญ่โตโอฬาร เห็นรถไฟฟ้า และรถราเต็มถนน เห็นคนใช้โทรศัพท์มือถือ เห็นคนขับรถชนคนตายแล้วรอดทุกคดี เอ๊ย อันหลังนี้ตัวละครไม่ได้เห็นนะครับ แต่คนไทยทั้งประเทศได้เห็นตำตา และตำใจ

คุณทวดเพียรได้พยายามหาทางช่วยแก้ปัญหาให้หลานมาตั้งแต่ 100 ปีที่ว่าแล้วโดยการเปิดบัญชีฝากเงินไว้ให้หลานได้มีเงินใช้หนี้

และยังตามมาคิดเรื่องการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนเพิ่มเติมอีกด้วย

 

แน่นอนที่ชื่อ “รักแลกภพ” จึงมีเรื่องรักมาเดินเรื่องคู่กันด้วย เพราะพระเอกพีทที่เดินทางย้อนยุคไปนั้นได้หลงรักสาวที่ชื่อ “คุณวรรณ” ที่เข้าใจว่าเป็นคุณทวดหญิงของตน จึงเป็นรักที่เป็นไปไม่ได้

ส่วนทวดเพียรที่ข้ามมายุคนี้ ก็ได้พบกับรักครั้งแรกกับ “พิ้งค์” สาวยุคใหม่ที่ฝังใจกับเรื่องโบราณๆ รวมทั้งหนุ่มสมัยโบราณคนนี้ด้วย แต่รักนั้นก็เป็นไปไม่ได้เพราะเขามาจากคนละยุค

เรื่องรักเลยอลเวงให้แฟนๆ ละครได้ลุ้น ได้เชียร์ อยู่ตลอดเวลา

และผู้เขียนบทก็ช่างวางหมาก วางพล็อต เพื่อหลอกให้คิดไปอีกแบบ แต่จริงๆ เฉลยเป็นอีกแบบตลอดเวลา จนเกิดเป็นวลีที่สื่อสารในช่องทางทวิตเตอร์ของแฟนละครว่า “ระวังช่องวันแกง”

“แกง” หมายถึง “แกล้ง” คือ ต้มตุ๋นเป็นแกงหม้อใหญ่อะไรทำนองนั้น

จนมีวลีที่มีมาตลอดของคนดูละครช่องนี้คือ “อย่าไว้ใจช่องวัน”

 

จากเหตุนี้ ทำให้ได้เรียนรู้พฤติกรรมของแฟนละครว่า ชอบอะไรที่คาดเดาไม่ได้ หากละครเรื่องไหนที่พล็อตพื้นๆ เดาทางได้ จะไม่สนุกชวนติดตาม จึงเป็นความสนุกที่ได้เดาทางละคร และเดาแบบดักทางด้วยนะ เหมือนหนังสืบสวนทั้งหลาย และถ้าออกมาอย่างที่ตนเดา จะรู้สึกว่าตนชนะและจะแฮปปี้มาก

จึงไม่แปลกใจเลยว่า ที่ข่าวบางช่องใส่ความเป็นละครเข้าไปในการนำเสนอ เพื่อให้เกิดอารมณ์การติดตามข่าวแบบชมละครนี่เอง ดูแล้วรู้สึกไม่ชอบหน้าคนในข่าวคนนั้น หรือแอบเชียร์และเห็นใจคนนี้

อย่างกรณีข่าวคดีชิงล็อตเตอรี่ระหว่างครูปรีชากับหมวดจรูญ หรือข่าวคดีใครฆ่าน้องชมพู่ เป็นต้น

 

ย้อนมาเรื่องละคร “รักแลกภพ” สิ่งหนึ่งที่ได้รับเสียงสะท้อนไม่น้อยคือ การได้รู้จักประวัติศาสตร์ชาติไทยเพิ่มมากขึ้น ว่าในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 บ้านเมืองเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง

โดยเฉพาะกับพระราชอัจฉริยภาพของรัชกาลที่ 6 ที่แม้จะครองแผ่นดินเพียง 15 ปีแต่พระองค์ก็ทรงทำอะไรให้กับแผ่นดินสยามมากมาย และหลายเรื่องก็เป็นพื้นฐานของสังคมที่ต่อเนื่องมาจนถึงยุคสมัยนี้ อย่างเช่นเรื่องการธนาคาร ที่เป็นธนาคารเพื่อประชาชนอย่างธนาคารออมสิน เป็นต้น

เรื่องนี้แฟนละครดูออกว่ามี “ธนาคารออมสิน” เป็นผู้สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือรู้สึกว่าถูกยัดเยียด กลับรู้สึกดี และเห็นถึงความน่าสนใจของ “ออมสิน” มากขึ้น จนเกิดเป็นการสื่อสารน่ารักๆ ในโซเชียลหลายอย่าง เช่น

“แค่เดินผ่านหน้าธนาคารออมสิน แล้วคิดว่าคุณเพียรทำงานอยู่ข้างใน ก็เขินแล้ว”

“พรุ่งนี้ชั้นอยากจะไปเปิดบัญชีกับออมสินเลย”

“ดูละครแล้ว ว่าจะให้แม่ซื้อสลากออมสินเก็บไว้สักหน่อย”

คำชมหลายเสียงมีให้กับงานโปรดักชั่นของละคร ที่มาจากทีมผลิตของช่องวันเอง จึงเนรมิตโลเกชั่นสวยๆ ย้อนยุค และฉากบรรยากาศย้อนสมัยผสมกับคอมพิวเตอร์กราฟิกได้อย่างสวยงาม ตื่นตา และในยุคปัจจุบันโลเกชั่นก็ทันสมัย สวยสมกับเรื่องราวอย่างดี

ที่โดดเด่นมากๆ เห็นจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ตัวละครสวมใส่ โดยเฉพาะกับตัวละครฝ่ายหญิงที่ออกแบบตัดเย็บได้อย่างเก๋ไก๋ มีรสนิยม และเข้ากับบุคลิกตัวละครมาก

 

สําหรับทีมนักแสดงเองแล้ว ก็ได้รับคำชื่นชมที่ต่างก็สวมบทบาทกันได้ดีเยี่ยม สร้างความเชื่อให้กับผู้ชม เล่นได้ดีและเนียน จนผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครได้จริงๆ

โดยเฉพาะตัวเอกที่เป็นทวดเพียรกับหลานพีท นั้นใช้นักแสดงคนเดียวกันเล่น คือ “ฟิล์ม ธนภัทร” นั่นเอง ซึ่งฟิล์มก็ได้พิสูจน์ถึงพัฒนาการทางการแสดงของเขาให้เห็นว่า เขาเป็นนักแสดงที่เก่งคนหนึ่ง และมีอนาคตไกล ฟิล์มสามารถแสดงเป็นทวดและหลานอย่างแยกกันได้ชัดเจน แม้ในฉากที่ตัดต่อให้เล่นร่วมกันซึ่งมีอยู่กว่าครึ่งเรื่อง คนดูก็ดูเพลินจนเหมือนเป็นคนละคนกันทีเดียว

รวมทั้งตัวละครนำฝ่ายหญิงที่ก็ตีบทแตกทุกคน ไม่ว่าจะเป็น “วิว วรรณรท”, “ใบเฟิร์น อัญชสา” และ “ลิลลี่ ภัณฑิลา”

ซึ่งต้องให้เครดิตกับผู้กำกับการแสดง คือ ผอูน จันทรศิริ ที่ควบคุมการแสดงและภาพรวมของละครให้ออกมากลมกล่อมเช่นนี้

 

สิ่งที่ซ่อนอยู่ในละครคือ ความสำคัญของประวัติศาสตร์ที่มีต่อความเป็นประเทศชาติ

ในยุคนี้ ที่โลกหมุนเร็ว อะไรก็เกิดเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว จนบางทีขาดความลุ่มลึกไป หากเราได้ย้อนศึกษาเรื่องราวที่มาที่ไป ศึกษาประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์นั้นๆ อย่างลึกซึ้ง และคิด วิเคราะห์ ด้วยความเป็นกลาง จะทำให้เราเข้าใจ และเปิดใจกับหลายเหตุการณ์ได้มากขึ้น

ละคร “รักแลกภพ” จบไปแล้ว ซึ่งก็เหมือนละครทุกเรื่องทางโทรทัศน์ ที่เปิดฉากให้ตัวละครออกมาโลดเต้นแล้วก็ปิดฉากลง

แต่เรื่องราวจริงในสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ที่เกิดแล้วจะกลายเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง

ไม่ว่าเรื่องเล็กๆ แต่ใหญ่ในความรู้สึกของประชาชนอย่างเหตุการณ์หลุดคดีของบอส อยู่วิทยา ไปจนถึงเหตุการณ์ที่กระทบการบริหารบ้านเมืองในยามวิกฤตอย่างการแย่งชิงเก้าอี้ของพรรคการเมือง หรือเหตุการณ์การเมืองอย่างการชุมนุมของกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” ที่ก่อตัวขึ้นมาสักระยะแล้ว เป็นต้น

หากแยก “อารมณ์” ออกไป แล้วไล่ย้อนดูถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวเหล่านั้น ว่าทำไมถึงทำให้ออกมาเป็นอย่างที่เห็น มีเหตุบ่มเพาะ ชี้นำ หรือซ่อนนัยยะอย่างไรบ้าง แล้วนำมาเป็น “บทเรียน” เพื่อหาทางแก้ไข เรียนรู้ พัฒนา เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี

เช่น กระบวนการยุติธรรมในสังคมไทยทำไมถึงเหลื่อมล้ำ ความคิดที่สะสมกันมาเรื่อง “อำนาจ” นั้น มีอยู่จริงและมีพลังแฝงมากน้อยแค่ไหน

เช่น ทำไมคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมจึงมีความคิดเช่นที่ประกาศเจตนารมณ์ออกมา ทำไมเขาถึงทนกับ “อะไร” ไม่ได้ ทำไมเขาถึงรู้สึก “อัดอั้น” จนต้องพากันลุกขึ้นแสดงออก

เช่น ทำไมเกิดคดีความอย่างครูล่วงละเมิดทางเพศกับลูกศิษย์ หรืออย่างคดีบุกห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล เกิดอะไรขึ้นกับพื้นฐานจิตใจคนเรา

เช่น ทำไม “การเมือง” จึงมีอำนาจมากกว่า “จิตสำนึกร่วมเพื่อประเทศชาติ”

สุดท้ายต้องย้อนมาดูว่า ประวัติศาสตร์ส่วนใดของประเทศเรา ที่คนรุ่นก่อนๆ ทำไว้ ซึ่งอาจเป็นหยดน้ำที่ค่อยๆ เติมจนล้นท่วมสังคมในเวลาต่อมาได้

ถ้าทราบแล้วและสามารถ “แลกภพ” ไปแก้ไขได้จริงๆ เหมือนในละครก็คงจะดีไม่น้อย

คุณว่าไหมครับ



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ไม่เกี่ยวกับ ‘ฮุน เซน’
ในระบอบป่วยติดเตียง รัฐบาลเป็ดง่อย
ใช่-ไม่ใช่
จับตา อุดมศึกษาไทย ในสภาวะ ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ เมื่อการเมืองรุกล้ำพื้นที่พัฒนาประเทศ
Ryan Gander นักท้าทายผู้ชมให้คลี่คลายปริศนาซับซ้อนทางศิลปะ
ผู้ว่าแบงก์ชาติ (คนใน)
คุยกับทูต | โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ครบรอบ 249 ปี วันประกาศอิสรภาพสหรัฐ (จบ)
จีนหนุนสยาม ยึดอยุธยาเพื่อจีน
อาณาเขตของความอร่อย
ข้าชื่อซารุโทบิ : โลกสองใบที่ไม่มีวันบรรจบ
บวชนาค พิธีกรรมสัญลักษณ์ เปลี่ยนผ่าน คนพื้นเมือง ให้เป็นอารยชน
ลืมจำ…ลืมจริง?