
ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าอเมริกันทำไม? 3) ภาษีทรัมป์, US$ และอวสานฉันทมติการค้าเสรี

การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ
ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าอเมริกันทำไม?
3) ภาษีทรัมป์, US$ และอวสานฉันทมติการค้าเสรี
ในบทความเรื่อง “Tariffs, the Dollar, and the End of Free Trade Consensus” (Social Europe, 9 April 2025) นั้น Mark Blyth ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัย Brown สหรัฐ ชี้ว่าไม่เพียงเฉพาะทรัมป์ แต่ผู้นำสองพรรคหลักอเมริกันได้ละเลิกฉันทามตินโยบายการค้าเสรี (Free Trade) แล้วหันมาสมาทานฉันทามตินโยบายคุ้มครองการค้า (Protectionism) แทนตั้งแต่ก่อนหน้าการประกาศภาษีนำเข้า ทรัมป์เมื่อ 2 เมษายน ศกนี้แล้ว (https://www.socialeurope.eu/tariffs-the-dollar-and-the-end-of-free-trade-consensus ) ดังปรากฏว่า :
– ในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ทั้งทรัมป์ตัวแทนพรรครีพับลิกัน และฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต ต่างคัดค้านการเข้าร่วมข้อตกลงกลุ่มการค้าเสรี Trans-Pacific Partnership กับอีก 11 ประเทศริมมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยกันทั้งคู่ (https://ustr.gov/tpp/overview-of-the-TPP)
– เมื่อไบเดนชนะเลือกตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากทรัมป์ (2021-2025) นั้น เขาไม่เพียงธำรงรักษาภาษีนำเข้าต่อสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ ที่ทรัมป์ริเริ่มทำทิ้งไว้เท่านั้น หากยังเพิ่มขยายมันออกไปอีกด้วย
– นโยบายลายเซ็นของไบเดนอันได้แก่การออกกฎหมายลดทอนเงินเฟ้อ (the Inflation Reduction Act, 2022) เอาเข้าจริงเป็นความพยายามจะส่งเสริมการฟื้นฟูอุตสาหกรรมของสหรัฐขึ้นมาใหม่ (US reindustrialization) ในภาคส่วนเศรษฐกิจสีเขียว-อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ไม่เพียงได้รับการคุ้มครองจากภาษีนำเข้าของทรัมป์เท่านั้น หากยังจะได้เงินอุดหนุนจากรัฐด้วย (https://bidenwhitehouse.archives.gov/briefing-room/statements-releases/2024/08/16/fact-sheet-two-years-in-the-inflation-reduction-act-is-lowering-costs-for-millions-of-americans-tackling-the-climate-crisis-and-creating-jobs/)
– ในแง่นี้ นโยบายลายเซ็นของไบเดนก็ตั้งเป้าไม่ต่างจากคลื่นภาษีทรัมป์ล่าสุดคือมุ่งขับดันการฟื้นฟูอุตสาหกรรมสหรัฐขึ้นมาใหม่เหมือนกัน ชั่วแต่คราวนี้ในภาคการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเข้มข้นเท่านั้นเอง
– จะเห็นได้ว่าการค้าเสรีไม่อยู่ในเมนูนโยบายของทั้งสองพรรคหลักอเมริกันมาร่วมทศวรรษแล้ว!

ปธน.ทรัมป์, อดีตผู้สมัคร ปธน.ฮิลลารี คลินตัน, อดีต ปธน.ไบเดน : สัญญาณฉันทามติคุ้มครองการค้าของสองพรรค
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?
กระแสหันไปหาแนวนโยบายคุ้มครองการค้าในอเมริกามีที่มาจากการที่ภาวะดอลลาร์สหรัฐครองโลกดันไปส่งเสริมให้เกิด -> การเสียดุลทางการค้าในเชิงโครงสร้าง
จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมแนวใหม่หรือเสรีนิยมทางสังคมชาวอังกฤษ ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ (1883-1946) เคยตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อปี 1944 ว่าประเทศทั้งหลายแหล่หากให้เลือกเองทำเองแล้ว ก็อยากเป็นประเทศผู้ส่งออกสุทธิมากกว่าประเทศผู้นำเข้าสุทธิ (net exporters rather than net importers)
เรื่องของเรื่องก็คือทุกวันนี้บรรดาประเทศผู้ส่งออกสุทธิในสหภาพยุโรปเอย เอเชียเอย และย่านอ่าวเปอร์เซียเอย ต่างพากันทำมาค้าขายหาเงิน US$ เข้าประเทศได้ในปริมาณซึ่งเหลือวิสัยจะซึมซับรับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตน ค่าที่มันจะไปส่งผลกดดันให้ค่าแรงและราคาข้าวของในประเทศแพงขึ้น อันจะกลับบั่นทอนสมรรถนะของสินค้าออกของตัวที่จะแข่งขันในตลาดโลกลงด้วยซ้ำ
กล่าวได้ว่า US$ ที่หาเข้าประเทศมาได้เหล่านี้กลับกลายเป็นภาระให้แก่บรรดาธนาคารท้องถิ่นไปเสียฉิบ

แผนภูมิที่ 1
วิธีจัดการกับ US$ ล้นเกินที่ง่ายดายที่สุดคือแปลงมันเป็นสินทรัพย์ในรูปเข้าซื้อพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐมาไว้เสีย หรือนัยหนึ่งซื้อหนี้สินที่รัฐบาลสหรัฐติดค้างต้องจ่ายคืนตนมาไว้นั่นเอง ซึ่งในทางปฏิบัติมันก็คือการยื่นเงิน US$ คืนให้แก่สหรัฐเพื่อที่สหรัฐจะได้มีเงิน US$ มาซื้อสินค้าออก (จากตัวเองและประเทศอื่นๆ อีกทีหนึ่ง) ต่อไปเรื่อยๆ
ในทำนองยายเอาอัฐของยาย (ที่ได้จากการขายขนมให้ตา) ไปซื้อหุ้นกู้จากตา ตาจะได้เอา “อัฐยายซื้อขนมยาย” ซ้ำสืบไปน่ะแหละ
ด้วยความสัมพันธ์แบบ “อัฐยายซื้อขนมยาย” เยี่ยงนี้ สี่สิบปีที่ผ่านมา อีตามะกันจึงสามารถสั่งซื้อนำเข้าอะไรก็ตามแต่ที่ตัวต้องการจากโลกด้วยการออกหนังสือรับสภาพหนี้ในรูปดิจิทัล (digital IOUs) ที่อัตราดอกเบี้ย 2% ด้วยความมั่นใจว่ายายจะไม่มีวันเอามันมาขึ้นเงิน US$ คืนจริงๆ หรอก ค่าที่พันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐนั้นถึงไงก็เป็นพาหะเงินฝากที่ยาย (ประเทศผู้ส่งออกสุทธิทั้งหลาย) จะต้องวนเวียนมาใช้อยู่เป็นนิจศีล
นี่ย่อมหมายความว่าสหรัฐสามารถนำสินค้าเข้าและขาดดุลการค้าได้โดยไม่ต้องยั้งคิดเพราะไม่ประสบข้อจำกัดทางดุลบัญชีเดินสะพัดใดๆ นั่นเอง
ดังแผนภูมิดุลการค้าและบริการของสหรัฐคิดเป็นล้านUS$ จากปี 1960-2024 (ดูแผนภูมิที่ 1) จากที่เคยเกินดุล 3,508 ล้านUS$ เมื่อปี 1960 มาเป็น -> ขาดดุล 917,835 ล้านUS$ ในปี 2024 (Le Monde, 6 Avril 2025)
อ้าว สภาพที่ว่านี้มันก็ดูได้เปรียบดีวิเศษมหัศจรรย์เหลือเกินสำหรับสหรัฐอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงจะยุติมันด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าแบบทรัมป์เสียล่ะ?

แผนภูมิที่ 2
คําตอบปรากฏเป็นข้อถกเถียงในหนังสือเรื่อง Trade Wars Are Class Wars : How Rising Inequality Distorts the Global Economy and Threatens International Peace (2020 สงครามการค้าคือสงครามชนชั้น : ความเหลื่อมล้ำพุ่งสูงขึ้นบิดเบือนเศรษฐกิจโลกและคุกคามสันติภาพสากลอย่างไร) โดย Matthew Klein & Michael Pettis ผู้เป็นนักข่าวเศรษฐกิจกับศาสตราจารย์การเงินชาวอเมริกันว่า :
การฝืนกระแสข้อจำกัดเหนี่ยวรั้งด้านดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างที่อเมริกาทำนั้นเอาเข้าจริงมีต้นทุนระยะยาวที่ต้องจ่ายอยู่
ในแง่หนึ่ง บรรดาประเทศผู้ส่งออกสุทธิก็สร้างสมส่วนเกินทางการค้าขึ้นมามหาศาลซึ่งไปบั่นทอนการลงทุนในประเทศและเบียดบังค่าแรงท้องถิ่นลงไป (เพราะของแพงค่าแรงขึ้นจากแรงกดดันของ US$ ที่ไหลบ่าเข้า) ทำให้เศรษฐกิจถูกกดให้ตกต่ำกว่าที่ควร
ในอีกแง่ ข้างสหรัฐเองอาจ “ได้ประโยชน์” จากสินค้านำเข้าต่างชาติราคาถูกที่ทะลักไหลเข้ามาอย่างไร้ขีดจำกัด แต่ต้นทุนที่ต้องจ่ายคือมันเซาะกร่อนบ่อนทำลายสมรรถภาพการผลิตทางอุตสาหกรรมของอเมริกาเองจนกรอบกลวง
ดังปรากฏว่าเมื่อปี 1975 นั้น นายจ้างใหญ่ที่สุดสามรายแรกของสหรัฐได้แก่บริษัท Exxon, General Motors และ Ford (ขุดเจาะน้ำมันกับผลิตรถยนต์ : ขายสินค้า) ขณะที่ในปีปัจจุบัน นายจ้างใหญ่ที่สุดสามรายแรกของสหรัฐกลับกลายมาเป็น Walmart, Amazon และ Home Depot (ค้าปลีก, ค้าแพลตฟอร์ม, ค้าวัสดุอุปกรณ์ซ่อมแซมปรับปรุงบ้าน : ขายสินค้านำเข้าแก่ภายในประเทศ) แทน
ดังสะท้อนออกในแผนภูมิดัชนีสมรรถภาพหัตถอุตสาหกรรมของสหรัฐจากปี 2007-2024 (ดูแผนภูมิที่ 2) ซึ่งเทลาดต่ำลงตามลำดับจนกลับเริ่มขยับผงกโงหัวขึ้นเมื่อปี 2021 ในสมัยอดีตประธานาธิบดีไบเดนนี้เอง
(https://www.apolloacademy.com/a-us-industrial-renaissance-has-started/)
สําหรับคนงานหัตถอุตสาหกรรมอเมริกันที่ค่อยๆ ทยอยตกงานจำนวนมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา รวมทั้งผู้นำสองพรรคหลักอเมริกันที่อาศัยพวกเขาเป็นฐานเสียง อภิสิทธิ์ล้นเหลือของภาวะดอลลาร์ครองโลกได้กลับกลายเป็น -> ภาระล้นเกินที่เศรษฐกิจอเมริกันต้องแบกรับ
จำที่ทั้งสองพรรคจะต้องผลักดันหาทางปรับสมดุลเศรษฐกิจสหรัฐเสียใหม่ โดยส่งเสริมการผลิตหัตถอุตสาหกรรมในประเทศ อันพ่วงพาการบังคับให้ประเทศผู้ส่งออกต่างชาติทั้งหลายปรับตัวด้วยเพื่อจำกัดเหนี่ยวรั้งความกระหายหิว US$ ของประเทศเหล่านั้นลง
ชั่วแต่ว่าการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ทำออกมาแบบบูลลี่มักง่ายห่วยแตกกว่าเพื่อน และอาจไม่ส่งผลดังคาดหมายเท่านั้นเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022