bg-single

‘ส.ว.นันทนา’ พูดถึงครูชื่อ ‘ชาญวิทย์’ ในวาระอายุครบรอบ 84 ปี

27.05.2025

เปลี่ยนผ่าน | ทีมข่าวการเมือง มติชนทีวี

 

‘ส.ว.นันทนา’ พูดถึงครูชื่อ ‘ชาญวิทย์’

ในวาระอายุครบรอบ 84 ปี

 

หมายเหตุ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ร่วมกับกลุ่มเพื่อนมิตร ได้จัดงานฉลองครบรอบอายุ 84 ปี ให้แก่ “ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” ที่อาคารมติชนอคาเดมี

โดยหนึ่งในผู้ร่วมงาน คือ “ส.ว.นันทนา นันทวโรภาส” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ชาญวิทย์ที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงนักวิชาการ-นักประวัติศาสตร์อาวุโส เอาไว้ดังนี้

ดิฉันอยากจะพูดถึงอาจารย์ชาญวิทย์ 7 ข้อ

(ประการแรก) “อาจารย์ชาญวิทย์เป็นน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว”

อาจารย์เรียนรู้ รับฟัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนอยู่ตลอดเวลา อ่าน ฟัง เดินทาง สนุกไปกับมัน

ถ้าจะเดาว่าหนังสืออะไรของอาจารย์ที่สะท้อน “ความเป็นชาญวิทย์” มากที่สุด (ก็น่าจะเป็น) “โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล” หนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ที่แปลมาจาก (วรรณกรรม) ของ “ริชาร์ด บาก” ตีพิมพ์มาแล้ว 20 กว่าครั้ง

นกนางนวลที่ชื่อชาญวิทย์คือผู้ที่ไม่เคยพอใจกับชีวิตที่ผ่านไปวันๆ แต่จะพยายามแสวงหาความหมาย พัฒนา ฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ให้ทันโลกทันสมัย

ไม่เชื่อดูได้เลย เฟซบุ๊กอาจารย์ชาญวิทย์ดูแอ็กทีฟมาก วันหนึ่งโพสต์ได้เป็นสิบครั้ง คือคนรุ่นอาจารย์ชาญวิทย์อย่าว่าแต่จะเล่นเฟซบุ๊กเลย จะปิดคอมพิวเตอร์เป็นหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่อาจารย์เรียนรู้ตลอดชีวิต

ด้านที่สอง “อาจารย์ชาญวิทย์เป็นนักวิชาการตลอดชีวิต”

ถ้าไม่นับการเป็นอธิการบดีในช่วงเวลาสั้นๆ อาจารย์ไม่เคยออกนอกเส้นทางของความเป็นนักวิชาการและแวดวงวิชาการ

ไม่เคยเข้าสู่วงการเมืองหรืออำนาจใดๆ ไม่มีภาพที่เราเห็นว่าอาจารย์เดินตามใคร ไม่เคยเห็นอาจารย์ไปเกี่ยวข้องกับทางธุรกิจใดๆ ไม่เกี่ยวข้องกับทางด้านสื่อสารมวลชนหรืองานในภาคประชาสังคม แต่ที่ออกจะแปลกใจมาก ก็คือว่า ไม่แม้กระทั่งจะไปเป็นราชบัณฑิต

อาจารย์ไม่แสวงหาอำนาจ ลาภยศ หรือเงินทอง ไม่ว่าจะกี่ปี อาจารย์ชาญวิทย์ก็ยังเป็นชาญวิทย์คนเดิม เป็นนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ไทย-ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย ภูมิใจในความเป็นนักวิชาการ

เป็นมืออาชีพทำงานต่อเนื่องมากว่า 50 ปี ผลิตผลงานมากมายหลายชิ้น ซึ่งดิฉันเชื่อว่ามากเกินกว่าที่ใครในสังคมนี้จะทำได้

ประการที่สาม “ชาญวิทย์ผู้ตื่นรู้กับสังคมแห่งยุคสมัย”

อาจารย์เป็นนักประวัติศาสตร์ แต่เป็นนักประวัติศาสตร์ที่มองปัญหาประวัติศาสตร์จากมุมมองปัจจุบัน ไม่ใช่ประวัติศาสตร์แบบนักรวบรวมหลักฐาน แล้วนำเอาหลักฐานนั้นมาเรียบเรียง ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยอดีตในมุมมองอดีต

ในเวลาที่สังคมถกเถียงกันเรื่องประชาธิปไตย อาจารย์ก็จะสนใจเจาะไปที่จุดเริ่มต้นก็คือ 2475 หรือย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น และพัฒนาการที่ตามมาว่า เรามาสู่จุดนี้ได้อย่างไร? เหตุปัจจัยคืออะไร?

อาจารย์นำเสนอมุมมองที่ต่างออกไปจากที่เรารับรู้ หรือที่บอกๆ กันมาในโรงเรียน ในวันที่ลัทธิชาตินิยมพุ่งขึ้นสูงในสังคมไทย อาจารย์จะย้อนกลับไปให้เราเห็นว่ามันก่อตัวมาอย่างไร? บทบาทของรัชกาลที่ 6, จอมพล ป., หลวงวิจิตรวาทการ เป็นอย่างไร?

หรือแม้กระทั่งในวันที่เกิดปัญหาใหญ่ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย อาจารย์ก็พยายามสืบค้นไปที่รากของปัญหาของประเทศเหล่านี้ ใช้มุมมอง-วิธีการทางประวัติศาสตร์ผลิตงานให้เราเข้าใจ หรืออย่างน้อยก็เป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือนั้นๆ

พูดสั้นๆ ก็คือ อาจารย์เสวนากับปัจจุบัน แล้วใช้อดีตมาให้คำตอบ ให้มุมมอง และเป็นมุมมองที่ลึกซึ้งเสมอ

ในแง่นี้ อาจารย์ก็คือ “อี. เอช. คาร์” ของประเทศไทย นักเรียนประวัติศาสตร์ต้องรู้จัก “อี. เอช. คาร์ ” เพราะเขาเป็นผู้เขียนหนังสือ “What is History?” ซึ่งพวกเราต้องเรียนใน (วิชา) ปรัชญาประวัติศาสตร์

เจ้าของสำนวนที่บอกว่า “history is an unending dialogue between the past and the present” (ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาไม่รู้จบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน)

 

ในด้านที่สี่ “ชาญวิทย์ผู้ทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิต”

ใครได้นั่งฟังหรือนั่งคุยกับอาจารย์ก็จะมีความรู้สึกประทับใจอย่างหนึ่ง คืออาจารย์ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์มันเป็นเรื่องราวที่สัมผัสได้และอยู่ตรงหน้าเรา เราฟังเรื่องราวประวัติศาสตร์จากอาจารย์ เหมือนฟังนักรัฐศาสตร์กำลังวิเคราะห์การเมืองของวันนี้

อาจารย์จะมีวิธีการเล่าราวกับอาจารย์ป๋วย, อาจารย์ปรีดี, จอมพล ป., รัชกาลที่ 7 หรือรัชกาลที่ 5 ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเรา ทำได้อย่างไร? ได้เห็นถึงความคิด การกระทำ อารมณ์ ความรู้สึกของตัวละคร ซึ่งเป็นตัวละครในประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เรารู้สึกสนุกสนาน แล้วก็น่าสนใจ

ในช่วงสองทศวรรษที่ประเทศเรามีปัญหาในเรื่องของประชาธิปไตย ก็เป็นช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์นั้นคึกคักมาก เป็นเพราะอาจารย์ชาญวิทย์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ช่วงเวลาประวัติศาสตร์เหล่านี้ (กลับ) ขึ้นมามีความหมาย ช่วยทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตชีวา

ถ้าเราจะพูดกลับกัน ก็คืออาจารย์ชาญวิทย์ทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิต แล้วก็มีคนเรียกอาจารย์ชาญวิทย์ว่า “ประวัติศาสตร์เดินได้”

 

ประการที่ห้า “อาจารย์ชาญวิทย์เป็นนักประวัติศาสตร์เพื่อการเปลี่ยนแปลง”

ถ้าจะมีคำใด (ที่เหมาะสม) สำหรับอาจารย์ชาญวิทย์ ก็คือ “นักประวัติศาสตร์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม”

ไฟของอาจารย์ในเรื่องนี้ยังลุกโชน ไฟที่อยากจะผลักดันแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่างๆ

อาจารย์ฝันจะเห็นประชาธิปไตย ความเป็นธรรม ความเท่าเทียม ความเป็นมนุษย์ ความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาแบบไม่ดัดจริต

อาจารย์จะพูด เขียน และลงมือผลักดัน เป็นการทำงานทางวิชาการที่เปลี่ยนแปลงสังคมโดยแท้

 

ประการที่หก “อาจารย์ชาญวิทย์เป็นผู้สร้าง Thailand in the Big Picture (ประเทศไทยในโลกกว้าง)”

แม้ว่าอาจารย์จะเป็นนักประวัติศาสตร์ไทย แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของอาจารย์ชาญวิทย์ ก็คือเป็นนักประวัติศาสตร์ไทยที่มองประวัติศาสตร์ไทยไม่แยกออกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเอเชีย หรือโลกใบใหญ่

นั่นก็คือประวัติศาสตร์ของอาจารย์ชาญวิทย์ ไม่มีประวัติศาสตร์ไทยโดดๆ มันเป็นการเรียนที่เชื่อมร้อยและทำให้เราตื่นตาตื่นใจ เห็นโลกทั้งใบ ภูมิภาคทั้งภูมิภาค อยู่กับความเป็นจริง ไม่เคยปั่นให้ไทยวิเศษวิโสไปกว่าประเทศเพื่อนบ้านใดๆ

พูดได้เลยว่า แบรนดิ้งของชาญวิทย์นั้นแตกต่างจากคนอื่น คือเป็นคนเดียวที่มองประวัติศาสตร์ไทยเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผู้บุกเบิก “Southeast Asian Studies” (ในสังคมไทย) หรือที่อาจารย์ใช้คำที่แตกต่างก็คือ “อุษาคเนย์”

เป็นผู้ที่ก่อตั้งสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของคณะศิลปศาสตร์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แล้วก็โด่งดัง มีผู้สนใจมาเรียนมากมาย ผู้ก่อตั้งโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมูลนิธิโครงการตำราฯ เป็นคนเขียน เป็นบรรณาธิการหนังสือเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุดคนหนึ่ง

 

ประการสุดท้าย “อาจารย์ชาญวิทย์กับบทบาทของนักสื่อสาร”

ความพิเศษมากๆ ของอาจารย์ชาญวิทย์ ก็คือเป็นนักสื่อสารที่สามารถเล่าเรื่องราวยากๆ ซับซ้อน และหลายคนมองว่าน่าเบื่อ ให้สนุก มีสีสัน มีชีวิต ใครฟังก็เขาถึงได้ แถมสนุกและเพลิดเพลิน

อาจารย์เล่าเรื่องอดีตที่เหมือนตายไปแล้วให้กลับมามีชีวิตใหม่ ชุบชีวิตขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ อาจารย์ก็จะไม่ใช้ศัพท์แสงเทคนิคที่คนทั่วไปชอบใช้ ไม่ว่าปฏิฐานนิยม อภิชนา ละมุนภัณฑ์ อะไรต่ออะไรพวกนี้ ไม่มีค่ะ อาจารย์จะใช้ศัพท์ที่ทำให้คนเข้าใจง่าย

และในหนังสือ “The Rise of Ayudhya” (ของอาจารย์ชาญวิทย์) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดจัดพิมพ์ เด็กมหาวิทยาลัยปี 2 ปี 3 ก็อ่านได้ เพราะใช้ภาษาที่เข้าใจได้ ไม่ต้องซับซ้อน แต่เรียนรู้ได้

ไม่แปลกใจค่ะ ที่อาจารย์ได้รับรางวัลศรีบูรพาและเป็นเจ้าของรางวัลฟุกุโอกะ ที่เป็นรางวัลที่คู่ควรกับอาจารย์อย่างยิ่ง

ทั้งหมดนี้ คืออาจารย์ชาญวิทย์ “ครู” ที่เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับดิฉันและครอบครัว “ครู” ที่เราไหว้ได้ นอบน้อมได้จากจิตวิญญาณของเรา และ “ครู” ที่เราตะโกนบอกสังคมอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันเป็นลูกศิษย์อาจารย์ชาญวิทย์ค่ะ”

 

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

‘สีกากอล์ฟ’ กับ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’
แพทองธาร พร้อมผลักดันสื่อสารภาพลักษณ์พุทธศาสนาให้ทันสมัย เข้าใจง่าย เข้าถึงคนรุ่นใหม่
ลอย ชูโมเดล การพลิกฟื้นเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา ยุทธวิธีของ ปธน. Javier Milei ที่ไทยควรเรียนรู้
ICSI
ICSI คืออะไร สามารถเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ไหม?
เจ้าอาวาสกับอำนาจเหนือพื้นที่วัด : โครงสร้างที่ต้องสังคายนาใหม่ (1)
วัคซีนเรืองแสงสุดโรแมนติก แพร่ผ่านการกุ๊กกิ๊กกันและกัน
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (13) เมื่อสำนักพระราชวังตักเตือน “เจ้าชาย-เจ้าหญิง” ให้แต่งกายตามรัฐนิยม
ดาวกับดวงวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม 2568
พาณิชย์เดินหน้า…จัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ยกระดับมันสำปะหลังไทย ขยายตลาดส่งออก ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโต
“รองฯตี๋ ”สั่งสืบ 8 รวบแก็งแว้น ย่านตลาดบางปะกอก เหตุรวมตัวมั่วยา ส่งเสียงดังก่อความรำคาญ กำชับท้องที่กวดขัน คาดโทษหากเกียร์ว่าง
ปักธง เทียนวรรณ เปิดโฉม บุรุษรัตน์ สามัญชน จาก ‘ศรีบูรพา’
ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (74)