

การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ
สองกุนซือเบื้องหลังภาษีทรัมป์
: 1) ปีเตอร์ นาวาร์โร
ในรายการข่าวและคอมเมนต์การเมืองชื่อดัง The Rachel Maddow Show ตอนที่ 40 ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง MSNBC ของอเมริกาเมื่อต้นเดือนเมษายนศกนี้ เรเชล แมดโดว์ ผู้ดำเนินรายการหญิงได้วิจารณ์ผลกระทบเสียหายมโหฬารทางเศรษฐกิจการเงินทั่วโลกเนื่องจากนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์อย่างเจ็บแสบก่อนจะเตือนความจำว่า :
“นี่อาจเป็นบางอย่างที่คุณผู้ชมจำได้นะคะ แต่เผื่อคุณจำไม่ได้ ดิฉันจะขอเอามันกลับมาขึ้นหน้าหนึ่งให้เลยที่นี่สักเดี๋ยวค่ะ เพราะคุณจำได้ไหมคะว่าทรัมป์ได้ความคิดเรื่องภาษีนำเข้าแรกสุดจากไหน? ว่าเขาเริ่มพูดถึงภาษีนำเข้าเมื่อไหร่ อย่างไรและทำไม?
“มันเป็นตอนที่เขารณรงค์หาเสียงเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกอยู่ค่ะ ทรัมป์ไม่มีที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจคนใดเป็นทางการ เขาก็เลยบอกลูกเขยแจริด (แจริด คุชเนอร์) ให้ช่วยหาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้สักคน รายงานบอกว่า ทรัมป์ให้ความคิดคร่าวๆ หลวมๆ บางอย่างแก่แจริดว่าเขาคิดอะไรเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจบางเรื่องในทำนองที่จะทำอย่างไรให้ตัวเขาเองดูแข็งกร้าว จีนดูเลวร้าย อะไรเทือกนั้น ฯลฯ
“แจริดก็เลยตัดสินใจจะหาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้พ่อตาสำหรับรณรงค์หาเสียงเป็นประธานาธิบดีโดยเข้าไปส่องดูที่เว็บไซต์ amazon.com แล้วก็เริ่มพลิกดูโฆษณาหนังสือเล่มต่างๆ ไม่ใช่อ่านหนังสือนะคะ เพราะคุณอ่านมันไม่ได้บนเว็บอเมซอน ก็แค่ดูปกหนังสือ ดูชื่อเรื่องเท่านั้นแหละค่ะ แล้วเขาก็เจอชื่อหนังสือที่เขาคิดว่ามันคูลมากเลย ชื่อเรื่องว่า : Death by China! โอ้พระเจ้าโปรด มันคูลมากเลย น่าทึ่งมากเลย
“และดูเหมือนเรื่องมันก็เป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ จากบทความในนิตยสาร Vanity Fair (ฉบับเดือนพฤษภาคมปี 2017, https://www.vanityfair.com/news/2017/04/jared-kushner-steve-bannon-white-house-civil-war?srsltid=AfmBOopdF8GatbDjwuXM5R2THGJkHiMIQ7CBHOU1WXls6eNjSLMlIIgp)…
“จากนั้นแจริดก็โทร.หาปีเตอร์ นาวาร์โร ผู้ร่วมเขียนหนังสือเล่มนั้นคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพวกต่อต้านการขาดดุลการค้าอย่างแข็งขันที่รู้จักกันดี นาวาร์โรก็เลยตกลงเข้าร่วมทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ในฐานะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ

ปีเตอร์ นาวาร์โร, เรเชล แมดโดว์, ประธานาธิบดีทรัมป์ : จากรายการทีวี The Rachel Maddow Show ตอน “เรื่องจริงอันน่าหัวร่อเยาะเบื้องหลังแผนภาษีนำเข้าที่เปลี่ยนให้โดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นภัยพิบัติโลก”
“นาวาร์โรเป็นนักป่าวร้องสนับสนุนนโยบายตั้งภาษีนำเข้าอย่างก้าวร้าวตัวยง แล้วเขาได้ความคิดว่าภาษีนำเข้าจะเป็นนโยบายที่ดีสำหรับอเมริกามาจากไหนล่ะ? ที่ช่วยหนุนหลังความปักใจเชื่อของเขาน่ะ? เรื่องของเรื่องคือเขาก็มีผู้เชี่ยวชาญตัวจริงหนุนหลังอยู่ล่ะค่ะ ซึ่งเขาอ้างอิงถึงอย่างน้อยในหนังสือของเขาหกเล่ม รวมทั้งเล่มที่แจริดเจอในอเมซอนในวันเจ้ากรรมนั้นด้วย ในหนังสือของเขาทั้งหมดเขาอ้างอิงถึงผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจเพื่อให้เหตุผลความชอบธรรมแก่ทัศนะของเขา และผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจที่เขาอ้างอิงนั้นคือคนที่ชื่อ รอน เวรา (Ron Vara)
“เมื่อทรัมป์ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและเข้าทำเนียบขาว นายรอน เวรา คนนี้ก็เริ่มส่งบันทึกช่วยจำเวียนไปทั่วกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสนับสนุนให้ทรัมป์ใช้ภาษีนำเข้าในนโยบายการค้า น.ส.พ. New York Times รายงานว่าบันทึกช่วยจำดังกล่าวส่งมาจากบัญชีอีเมลที่อ้างว่าเป็นของคนชื่อ Ron Vara ตอนหนึ่ง รอน เวรา เขียนไว้ในบันทึกช่วยจำว่าทรัมป์สามารถขี่ภาษีนำเข้าไปสู่ชัยชนะได้
“ปัญหาอยู่ตรง Ron Vara ไม่มีตัวตนค่ะ เขาไม่เคยมีอยู่จริงเลย ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจที่นาวาร์โรอ้างอิงถึงมายาวนานเป็นวรรคเป็นเวรเพื่ออธิบายว่าทำไมเขาถึงกระเหี้ยนกระหือรือเรื่องภาษีนำเข้านักเป็นบุคคลสมมุติ เป็นบุคคลในนิยายค่ะ ปีเตอร์ นาวาร์โร เนรมิต รอน เวรา ขึ้นมาเป็นแหล่งผู้เชี่ยวชาญของตัวเพื่อจะได้อ้างอิงแหล่งผู้เชี่ยวชาญที่ว่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหนังสือเพี้ยนพิลึกทั้งหลายของตัวนั่นล่ะค่ะ
“แล้ว Ron Vara เป็นใครหรือ? Ron Vara ก็เป็นคำสะกดผวนสลับที่ของนามสกุล Navarro ของเขาเองไงคะ!
“และนั่นล่ะค่ะคือความจริงที่ว่ารัฐบาลทรัมป์จัดวางนโยบายภาษีนำเข้าของตัวมาอย่างไร นั่นล่ะค่ะแหล่งที่ทรัมป์ได้ความคิดเรื่องภาษีนำเข้าของเขามา” จนฉิบหายวายป่วงกันไปทั้งโลกตอนนี้ (https://www.youtube.com/watch?v=MJbZCbBLqkk&list=PLDIVi-vBsOEyETRGoRP9y8zhyu6bHl6iK&index=40)
ไม่ว่าจะมีแหล่งที่มาแท้จริงเพี้ยนพิลึกปานใด ทรัมป์ก็เริ่มใช้นโยบายภาษีนำเข้าทำสงครามการค้ากับจีนตั้งแต่มกราคม 2018 เมื่อขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก พร้อมทั้งแต่งตั้งปีเตอร์ นาวาร์โร เจ้าตำรับภาษีนำเข้าและอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยด้านเศรษฐศาสตร์ให้เป็นผู้อำนวยการสภาการค้าแห่งชาติประจำทำเนียบขาว และเป็นผู้อำนวยการสำนักนโยบายการค้าและหัตถอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ในเวลาต่อมา
ปีเตอร์ นาวาร์โร นักเศรษฐศาสตร์วัย 75 ปี ผู้เป็นสถาปนิกนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์คนนี้เกิดเมื่อปี 1949 ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ในครอบครัวค่อนข้างขัดสนฝืดเคือง พ่อเป็นนักเป่าแซ็กโซโฟนขาจร ส่วนแม่เป็นเลขานุการ หลังพ่อแม่หย่าร้าง เขาอาศัยอยู่กับแม่อย่างดิ้นรนกระเบียดกระเสียร ทำงานไปเรียนไปจนจบมัธยม ค่าที่เรียนเก่ง จึงได้ทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี (ฟังรายละเอียดที่ https://www.bbc.co.uk/programmes/m002brqg)
จากนั้นนาวาร์โรสมัครเข้าเป็น US Peace Corps มาทำงานอาสาในชุมชนต่างๆ ที่เมืองไทยอยู่สามปี ซึ่งเขาเล่าว่าได้ขุดบ่อเลี้ยงปลานิลกับชาวบ้านและแจมกีตาร์ในวงออร์เคสตรา 16 คนด้วย เขากลับไปสหรัฐและเรียนเศรษฐศาสตร์ต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจนจบปริญญาเอกและเข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือเมื่อปี 1989
นาวาร์โรสนใจการเมืองและลงสมัครรับเลือกตั้งหลายตำแหน่งหลายครั้งในนามปีกซ้ายพรรคเดโมแครต (โดยตอนนั้นเขาแสดงความเห็นคัดค้านภาษีนำเข้าหัวชนฝา) แต่สอบตก ในที่สุดราวต้นทศวรรษ 2000 ปีเตอร์ นาวาร์โร ก็เกิดอาการตาสว่างพลิกเปลี่ยนท่าทีการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจของตัวกลับตาลปัตรด้วยเหตุใหญ่ 3 ประการ
1) สถานการณ์เศรษฐกิจการค้าโลกที่เปลี่ยนไปหลังจีนเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อช่วงต้นทศวรรษที่ 2000s ปรากฏว่าเขากลายเป็นพวกถือนโยบายการค้าสายเหยี่ยว หันมาสนับสนุนภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องการค้า และเขียนหนังสือต่อกันเป็นชุดซึ่งพุ่งเป้าโจมตีจีนอย่างสาดเสียเทเสีย รวมทั้งเล่ม Death by China ที่โด่งดังในปี 2011 ด้วย
2) ลึกๆ แล้วจุดยืนของนาวาร์โรสนับสนุนฝ่ายแรงงานและกรรมกรซึ่งเป็นแนวนโยบายแต่เดิมของพรรคเดโมแครต ทว่า นับแต่ทศวรรษที่ 1990s เป็นต้นมา พรรคเดโมแครตภายใต้ประธานาธิบดีบิล คลินตัน ก็ละทิ้งหลักการเดิมเหล่านั้นและหันมาป่าวก้องร้องเชียร์นโยบายการค้าเสรี-ย้ายฐานลงทุนหัตถอุตสาหกรรมอเมริกันไปต่างประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า-โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจสุดลิ่มทิ่มประตู รวมทั้งผูกสัมพันธ์กับบรรษัทข้ามชาติทั้งหลายสนิทแนบแน่นขึ้นทุกที
3) ในหลายรัฐที่คะแนนเสียงแพ้ชนะสามารถพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปรากฏว่าข้อตกลงการค้าแบบ WTO เอย NAFTA (North American Free Trade Agreement) เอย ทำให้โรงงานพากันย้ายฐานลงทุนไปนอกประเทศ ชุมชนหัตถอุตสาหกรรมดั้งเดิมของรัฐเหล่านั้นถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพกร่อนกลวงล้มละลายแตกฉานซ่านเซ็นไม่มีงานทำ ค่อยๆ ซังกะตายไปเอง
กล่าวได้ว่าชะตากรรมพลิกผันของชุมชนคนงานอเมริกันเหล่านี้ตีคู่ขนานไปกับเส้นทางการเมืองของนาวาร์โรผู้ตกอยู่ในสภาพกำพร้าทางการเมือง เข้าไม่ได้ทางนโยบายกับทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน จนกระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์ กระโดดลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ด้วยท่าทีใหม่แบบชาตินิยมทางเศรษฐกิจ คัดค้านการเปิดเสรีโลกาภิวัตน์ ดังที่เรียกเป็นคำขวัญว่า MAGA – Make America Great Again
ปีเตอร์ นาวาร์โร จึงได้พบบ้านและครอบครัวทางการเมืองของตนในที่สุด
ปัจจุบันค่าที่นาวาร์โรจงรักซื่อสัตย์ต่อทรัมป์อย่างแน่วแน่คงเส้นคงวาแม้ในยามทรัมป์แพ้เลือกตั้งถูกกล่าวหาฟ้องร้องว่าปลุกระดมม็อบก่อการกำเริบบุกสภาคองเกรสเมื่อมกราคม 2021 ถึงแก่นาวาร์โรยอมติดคุกข้อหาหมิ่นสภาคองเกรสสี่เดือนเนื่องจากไม่ยอมร่วมมือไปให้ปากคำปรักปรำทรัมป์ตามที่ถูกเรียกตัว เขาจึงได้รับแต่งตั้งกลับเข้ามาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าและหัตถอุตสาหกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์#2 อีกครั้งนับแต่เดือนมกราคมศกนี้
แล้วอะไรคือข้อถกเถียงและข้อเสนอหลักทางนโยบายในหนังสือ Death by China ของปีเตอร์ นาวาร์โร?
Death by China : Confronting the Dragon – A Global Call to Action (2011, ตายด้วยน้ำมือจีน : เผชิญหน้ามังกร – คำเรียกร้องให้ปฏิบัติการทั่วโลก) วิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างสาดเสียเทเสียว่าเป็นภัยคุกคามการดำรงอยู่ของสหรัฐอเมริกา โดยชงผสมข้อถกเถียงทางเศรษฐกิจ การเมืองและศีลธรรมเข้าด้วยกันโดยสังเขปดังนี้ (ChatGPT @27April2025) :
1. ปฏิบัติการทางเศรษฐกิจของจีนมีลักษณะล่าเหยื่อ
นาวาร์โรเถียงว่าจีนปั่นค่าเงินหยวน ออกเงินอุดหนุนอุตสาหกรรมต่างๆ ของตนอย่างหนัก และฉวยใช้เอาเปรียบด้วยปฏิบัติการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม (เช่น ปล้นทรัพย์สินทางปัญญาและทุ่มสินค้าในตลาด) เพื่อบ่อนทำลายคู่แข่งทั้งสหรัฐและประเทศอื่นๆ
2. ความตกต่ำของหัตถอุตสาหกรรมในสหรัฐ
เขาเชื่อมโยงการสูญเสียอาชีพการงานด้านหัตถอุตสาหกรรมหลายล้านตำแหน่งในอเมริกาเข้ากับการผงาดขึ้นของจีนโดยตรง กล่าวอ้างว่าสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนนี่แหละเป็นตัวการล้วงควักไส้ในอุตสาหกรรมสำคัญๆ ของสหรัฐจนยอบแยบเปล่ากลวงและทำร้ายคนชั้นกลางอเมริกัน
3. ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์กับความเสี่ยงของผู้บริโภค
หนังสือกล่าวอ้างว่าสินค้าทำในจีนมักสุ่มเสี่ยงร้ายแรงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคอุปโภคเนื่องจากระเบียบกฎเกณฑ์กำกับควบคุมของจีนหย่อนยาน ยกตัวอย่างเช่น อาหารปนเปื้อน ของเล่นมีพิษ และผลิตภัณฑ์บกพร่องเสียหาย
4. การทำลายสิ่งแวดล้อม
นาวาร์โรเน้นย้ำว่าการสร้างอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วของจีนมาพร้อมกับต้นทุนความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมมหาศาล รวมทั้งมลภาวะร้ายแรงซึ่งมิเพียงแต่กระทบต่อจีน แต่ส่งผลสะเทือนทั่วโลกด้วย (อาทิ ทำให้โลกร้อน)
5. ภัยคุกคามทางทหาร
นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจ นาวาร์โรเตือนว่าการที่จีนพัฒนากองทัพให้ทันสมัยและปฏิบัติการก้าวร้าวรุกรานต่างๆ (โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้) บ่งชี้ว่าจีนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐในอนาคต
6. การปกครองแบบอำนาจนิยมกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เขาวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ปกครองแบบอำนาจนิยม ชี้ถึงการเซ็นเซอร์ข่าวสารข้อมูล ขาดเสรีภาพประชาธิปไตย ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน และเถียงว่านโยบายภายในประเทศจีนเหล่านี้มีผลกระฉอกลามไปทั่วโลก
7. เรียกร้องให้ปฏิบัติการรับมือทางนโยบาย
นาวาร์โรเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้บริโภคสหรัฐ “ตื่นรู้” ป่าวร้องสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวขึ้น บังคับใช้กฎหมายการค้าแข็งขันขึ้น และสนับสนุนหัตถอุตสาหกรรมในประเทศอเมริกาเองเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีน
กล่าวสรุปสั้นที่สุดคือ : การผงาดขึ้นของจีนคุกคามอาชีพการงาน ความมั่นคง สุขภาพและเสรีภาพของสหรัฐ!
ทว่า ถึงแม้อิทธิพลทางนโยบายของปีเตอร์ นาวาร์โร ในเรื่องภาษีนำเข้า-สงครามการค้ากับจีนจะสูงขึ้นมากในรัฐบาลทรัมป์#2 แต่มันก็ถูกคะคานโดยพวกมหาเศรษฐีพันล้านเทคไทคูนที่แวดล้อมตัวประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ โดยเฉพาะอีลอน มัสก์ ที่ถึงกับออกมาวิวาทะฉะกับนาวาร์โรทางสื่อสาธารณะตรงๆ ไม่ไว้หน้าในเรื่องภาษีทรัมป์ จึงยังไม่แน่นักว่าทรัมป์จะเดินตามนาวาร์โรไปสุดทางจริงๆ หรือไม่?
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022