
‘เกษียร เตชะพีระ’ ฉายภาพ ‘3 ปมปัญหาใหญ่’ เซาะกร่อน ‘ระบบการเมืองไทย’

เปลี่ยนผ่าน | ทีมข่าวการเมือง มติชนทีวี
‘เกษียร เตชะพีระ’
ฉายภาพ ‘3 ปมปัญหาใหญ่’
เซาะกร่อน ‘ระบบการเมืองไทย’
หมายเหตุ เนื้อหาส่วนหนึ่งจากการบรรยายของ “ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ” ในงานเสวนาหัวข้อ “ประชาธิปไตยบนทางแพร่ง” ที่คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
ที่ว่าระบบการเมืองมีปัญหา มันมาจาก “ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต” “ฉันทามติ 112” และ “ประชาธิปไตยบ้านใหญ่”
“ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต” “อาจารย์ปิยบุตร (แสงกนกกุล)” คิดคำนี้ขึ้นมา เพื่อสะท้อนว่าแทนที่อำนาจมันจะรวมศูนย์อยู่ที่เดียว แล้วผ่านการเลือกตั้ง พรรคที่ชนะเลือกตั้งได้ “ใบอนุญาตเป็นรัฐบาล” ไม่ว่ะ
ในเมืองไทย คุณชนะเลือกตั้ง คุณอาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะคุณต้องได้ “ใบอนุญาตที่ 2” คือได้ “ใบอนุญาตจากชนชั้นนำ” ด้วย อันนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหามาก
เป็นปัญหาตรงไหน? อาการที่แสดงชัดเป็นรูปธรรมที่สุดของ “ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต” คืออำนาจกับความพร้อมรับผิดอยู่คนละที่ แปลว่าอะไร?
ต่อให้ทำผิดก็ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะมีอำนาจ “บิ๊กตู่” นำ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ถูกฉายให้ดูว่ากล่าวไม่ครบถ้วน ผิดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ต้องพร้อมรับผิด “บิ๊กป้อม” มีนาฬิกายืมเพื่อน 20 กว่าเรือน ไม่ต้องพร้อมรับผิด
แต่คนที่พร้อมรับผิดคือใคร? คือหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หรือกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ คือพรรคก้าวไกล อำนาจอยู่อีกที่หนึ่ง ความพร้อมรับผิดอยู่อีกที่หนึ่ง ผู้มีอำนาจไม่ต้องพร้อมรับผิด ผู้พร้อมรับผิดไม่มีอำนาจ
อันนี้ป่วย เพราะประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือเราจะมีรัฐสมัยใหม่ เราต้องมี 2 อย่าง ต้องมี “อำนาจอธิปไตย” และมี “การแทนตน”
เราจะมีรัฐสมัยใหม่ได้ เราทุกคนต้องตกลงมอบอำนาจสูงสุดในประเทศให้กับคนนี้และคณะนี้ นั่นแปลว่าจะมี “กองกำลังอาวุธที่ 2” ไม่ได้ จะมี “กลุ่มใหญ่อำนาจที่ 2” ที่ออก “ใบอนุญาตที่ 2” ไม่ได้ อำนาจต้องอยู่ที่เดียว เรายอมให้อำนาจอยู่ที่เดียว เพราะนั่นคือที่มาของความสงบ ที่มาของความยุติธรรม ของความยุติความขัดแย้ง
แต่ถ้าคุณไม่มีอำนาจที่รวมศูนย์อยู่ที่เดียว อันนั้นยุ่ง แล้วทำไมเราจึงควรยอมมอบอำนาจให้อยู่ในที่เดียว? เพราะเขาเป็น “ตัวแทน” เรา เขามีสิทธิที่จะมีอำนาจสูงสุดในสังคมในประเทศ เพราะเราให้ (อำนาจ) เขา เขาเป็นตัวแทนเรา นี่คือเกณฑ์ขั้นต่ำสุดของรัฐสมัยใหม่
การที่ในสังคมประชาธิปไตยไทยมีอาการ “ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต” แล้วอำนาจอยู่ที่หนึ่ง ความพร้อมรับผิดอยู่ที่หนึ่ง มันสะท้อนว่า “อำนาจอธิปไตย” กับ “การแทนตน” มีปัญหา
มีปัญหาอย่างไร? มันมี “อำนาจอธิปไตยพันลึกคู่” ก็ในเมื่อมี “deep state” (รัฐพันลึก) แล้ว ก็ต้องมี “deep sovereignty” (อำนาจอธิปไตยพันลึก)
อำนาจอธิปไตยน่าจะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดง่ายๆ ตามกฎหมาย ดูรัฐธรรมนูญก็น่าจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่เรามี “deep dual sovereignty-อำนาจอธิปไตยพันลึกคู่” จึงทำให้ต้องเป็น “ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต”
เรามีการแทนตนก็คือคนที่ใช้อำนาจอธิปไตย น่าสนใจ เรารู้สึกว่า (ถ้า) เราอยากจะรู้ทิศทางของฝ่ายบริหาร เราควรจะฟัง “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” หรือ “คุณพ่อ” เธอดี? หรือเราอยากจะรู้ทิศทางความเป็นไปของ ส.ว. เราควรจะฟัง “ประธาน ส.ว.” หรือ “เนวิน ชิดชอบ” ดี?
นึกออกไหม? มันอยู่พันลึก แล้วดูเหมือนคนที่มีอำนาจไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการเลือกตั้งแต่ไม่มีอำนาจ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเป็นคนข้างนอก อันนี้เป็นปัญหา ถ้าเราเลือกเขา แล้วเขาใช้อำนาจผิด เขาจ่าย นี่คือเกณฑ์ประชาธิปไตย หนหน้ากูไม่เลือกมึง
แต่ถ้าเป็นระบอบที่การแทนตนไม่มีอยู่จริง เขามีอำนาจ เขาตัดสินใจผิด เราจ่าย แล้วเขามีอำนาจต่อไปในรอบหน้า การแทนตนมันสำคัญแบบนี้ ปัญหาระบบเราปัจจุบัน ผมว่ามีปัญหาตรงการแทนตน คือมันเป็นไปได้ว่า เขาทำผิด แต่เขาไม่ต้องจ่าย แล้วเรารับทุกข์รับกรรม
เพราะฉะนั้น คนที่ดูเหมือนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เราไม่ได้เลือก หรือที่เราเลือกก็ไม่ได้มีอำนาจนำจริง ดังนั้น พื้นที่นโยบายจึงมีลักษณะรอมชอม ทับซ้อน จำกัด ก็คือ ตกลงอะไรกันไม่ได้ ตกลงกันได้แต่ว่า ไม่เอา (ปฏิรูป) 112 ใครไม่เอา (ปฏิรูป) 112 เรามาร่วมรัฐบาลกัน
นั่นแปลว่าอะไร? ข้อที่คุณตกลงกันได้ มันมีแต่ “ข้อตกลงเชิงลบ” คือไม่ทำอะไร ไม่แก้ ไม่ยกเลิก ไม่เปลี่ยนแปลง 112 แต่คุณไม่ตกลงว่า เอาอย่างไรกับ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” จะเอาอย่างไรกับ “ฮั้ว ส.ว.” คุณไม่ได้ตกลงกันเลยในสารพัดเรื่องที่คุณคิดจะทำ
“ฉันทามติ” ที่มีอยู่จึงเปราะบางมาก อะไรที่ดึงรัฐบาลอยู่ด้วยกันมันเปราะเพราะหักง่าย และมันบางเพราะมีน้อย แล้วมันทอนกำลัง ทำไมทอนกำลัง? เพราะมันไม่ไว้ใจกัน มันไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน และมันไม่ไว้ใจประชาชนด้วย มันระแวงประชาชนตลอดเวลา
ในสภาพแบบนี้ ผมชอบคำ “ประชาธิปไตยบ้านใหญ่” ที่ “อาจารย์ธงชัย (วินิจจะกูล)” คิด คือในที่สุด ผมคิดว่าต้องเอามันไปวางอยู่ในระเบียบอำนาจที่ล้อมมันอยู่
เรากำลังมี “ประชาธิปไตยบ้านใหญ่” ในโครงสร้างทางการเมืองแบบ “ต่อต้านเสียงข้างมาก” ระเบียบการเมืองที่เรามีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบโดยคนที่ไม่ไว้ใจเสียงข้างมาก ต่อต้านเสียงข้างมาก
จะออกแบบรัฐธรรมนูญอย่างไรที่จะเอาไว้ดัก เอาไว้จับ เอาไว้ต่อต้าน เอาไว้ทำลายเสียงข้างมากให้มากที่สุด ก็วางทุ่นระเบิดไว้ทั่วเลย วางทุ่นระเบิดไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. วางไว้ตรงนู้นตรงนี้ แล้วก็บอก อ้าว! เราจะมีประชาธิปไตยแล้วแหละ เชิญเลือกตั้ง เพราะกูมีทุ่นระเบิดเสียงข้างมากเต็มไปหมด
ที่มันตลกก็คือว่าไอ้คนที่ชนะเลือกตั้งแล้วเข้ามาเป็น ส.ส. เข้ามาเป็นรัฐบาล มันใช้โครงสร้างอันนี้ทำลายกัน นึกออกไหมครับ? แทนที่จะผนึกกำลังกันแล้วเปลี่ยนโครงสร้างอันนี้ เพราะมันเป็นโครงสร้างที่ต่อต้านเสียงข้างมาก เปล่า มันใช้ “เครื่องมือที่ไว้ฆ่านักเลือกตั้ง” เล่นงานกันเอง
ที่เป็นพาดหัวข่าวทุกวันนี้ ไม่ใช่เหรอ? หยิบมาเล่นมึง “ฮั้ว ส.ว.” หยิบมาเล่นมึง “ชั้น 14” ผมไม่ได้พูดว่าใครถูกใครผิด แต่นึกออกไหม? นี่คือระเบียบการเมืองที่มีทุ่นระเบิดเต็มไปหมดเพื่อไว้ฆ่าคนที่มาจากเสียงข้างมาก
สิ่งที่คุณทำ ทั้งที่คุณมาจากการเลือกตั้ง แล้วคุณมาจากเสียงข้างมาก คือคุณคว้าอาวุธที่เขาทิ้งไว้ แล้วฆ่ากันเอง ฉิบหายครับ คุณทำอะไรไม่ได้หรอก
พรรคฝ่ายต่างๆ ในรัฐบาลกำลังใช้ “สถาบันต่อต้านเสียงข้างมาก” เช่น ส.ว. ที่เป็นสถาบันต่อต้านเสียงข้างมาก ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง เลือกตามกลุ่มอาชีพ ทำไมไม่แก้รัฐธรรมนูญแล้วยุบมันทิ้งหรือลดอำนาจมันลง ไม่! เข้าไปยึดมันเลย
พรรคฝ่ายต่างๆ ในรัฐบาลกำลังใช้ “สถาบันต่อต้านเสียงข้างมาก” และ “กลไกนิติสงคราม” ที่วางไว้ตรงนู้นตรงนี้ในรัฐธรรมนูญ ทำสงครามการเมืองใต้น้ำกันพัลวันและดุเดือดเลือดพล่านขึ้นทุกที
นักเลือกตั้งกำลังใช้เครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์ “ต่อต้านอำนาจเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง” ของฝ่ายอำมาตย์ที่จัดวางไว้ในระบบการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2560 เข้าเล่นงานห้ำหั่นกัน แทนที่จะร่วมมือกันลดลัด ตัดทอน ปฏิรูป ปรับเปลี่ยนระบบการเมืองนั้น
ไม่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ลดอำนาจ ส.ว. ไม่ลดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับใช้เครื่องมือเหล่านี้ที่เขาวางไว้ฆ่าเสียงข้างมาก หยิบขึ้นมาฆ่ากันเอง ไม่มีพรรคฝ่ายใดสามารถบรรลุโครงการขนาดใหญ่ระดับชาติของตัวเองได้ตลอดรอดฝั่งเลย เชื่อเถอะ
การเลือกตั้งท้องถิ่นที่ถูกกำหนดโดยบริบทพลวัตสังคมการเมืองท้องถิ่น กลายเป็นเวทีต่อสู้ของการเมืองระดับชาติอย่างผิดฝาผิดตัว สังเกตไหม? การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นข่าวใหญ่มาก แล้วคนสนใจว่าฝ่ายชนะจะชูฝั่งไหน คือคุณไม่ได้ดูการเมืองท้องถิ่นจากบริบทพลวัตของมัน คุณโยงมันกับการเมืองระดับชาติ อันนี้คือพึลึก การเมืองท้องถิ่นกำลังเพี้ยนแล้ว
แนวโน้มที่เกิดขึ้นคืออะไร? ถ้าคุณมี “ประชาธิปไตยบ้านใหญ่” ในโครงสร้างทางการเมืองแบบ “ต่อต้านเสียงข้างมาก” คุณจะไม่นึกเรื่องใหญ่ คุณจะไม่คิดเรื่องระดับชาติ เรื่องระดับโลก คุณคิดเรื่องระดับท้องถิ่น ทำอย่างไรคุณจะชนะเทศบาลนู้น จะชนะ อบจ.นี้
คุณเข้าไปหยิบ “สถาบันต่อต้านเสียงข้างมาก” คุณเข้าไปหยิบ “กลไกนิติสงคราม” แล้วมาใช้เล่นงานกันเอง
เป็นอำนาจนิยมยิ่งขึ้น คุณยังคงลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้คนพลเมืองต่อไป
“ประชาธิปไตยบ้านใหญ่ในโครงสร้างทางการเมืองต่อต้านเสียงข้างมาก” เป็นเครื่องมือที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการปฏิรูปการเมือง-เศรษฐกิจระดับชาติ เพื่อรับมือวิกฤตระดับโลกที่กำลังถาโถมเข้ามา
เรื่องใหญ่ๆ กำลังเกิดขึ้น คุณทำอะไร? คุณฟัดกันนัวเลย แล้วคุณฟัดกันอย่างไร? คุณใช้เครื่องมือที่อำมาตย์ทิ้งไว้นี่แหละทิ่มกัน เราก็ดูทางทีวีแล้วลุ้น โอ้โห! มันฉิบหายเลย มันเลี้ยง ส.ว. 10 คน วันนี้จะพูดภาษาอะไรวะ? ฝรั่งเศสหรือจีนหรือกรีก
คือมันก็สนุก ผมก็ดู แต่พอคิดภาพรวมแล้ว ตายห่า!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

