เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ | จากโก๋แก่ สู่โก๋ฟิล์ม – ผู้กำกับ ผู้ให้ทุน แห่งวงการหนังไทย

02.06.2025

นอกเหนือจากบทบาทผู้บริหาร ‘โก๋แก่’ แบรนด์ขนมกินเล่นที่คนไทยรู้จักกันดีแล้ว ‘ต้น’ จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ ยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่เป็นแพชชั่นส่วนตัวของเขา ซึ่งก็คือการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์นอกกระแส และเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนวงการศิลปะไทย อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนทำหนังไทยเป็นจำนวนไม่น้อย

แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่เขากลับเลือกทำหนังอินดี้ที่ไม่ใช้เงินเยอะ และไม่ใช่หนังกระแสหลักเอาใจตลาดมาโดยตลอด มติชนสุดสัปดาห์มีโอกาสชวน จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ มาสนทนา หลังจากที่ ‘Jenny, I Love You’ หนังเรื่องล่าสุดที่เขาร่วมกำกับฯ กับ ‘บุญส่ง นาคภู่’ ลาโรงไป

ข้อความในบรรทัดถัดไป คือการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของเขา

 

ความสนใจในภาพยนตร์

ตั้งแต่เด็กๆ คือคุณพ่อเขาพาไปดูหนัง เราก็ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แล้วทีนี้พอช่วงที่ไปเรียนต่างประเทศ ก็ได้สัมผัสกับหนังอินดี้ยุค 90 พวกหนังนอกกระแสที่ถ่ายทำกันง่ายๆ ใช้กล้องแฮนดิแคมตัวเดียวก็ถ่ายได้ เรียกว่าไม่ต้องพึ่งพากระแสฮอลลีวูด ในต่างประเทศนี่พี่ก็เห็นมาเยอะนะ ช่วงนั้นก็มี ‘Reservoir dogs’ พอเห็นแล้วก็มีความคิดว่าถ้าอย่างนี้เราน่าจะทำได้ ถ้ากลับมาเมืองไทยก็น่าจะทำหนังของตัวเองบ้าง

ตอนนั้นเรียนอะไร

เรียนธุรกิจเลย เรียนธุรกิจที่อังกฤษกับฝรั่งเศส แต่ว่าเรื่องหนังคือ เรียนจบมาแล้ว เรายังสนใจอยู่ ก็เลยหาหนังสือพวก How to  ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยมาหัดศึกษา หัดเขียนสิ่งที่จำเป็นกับการออกโปรดักชั่น เช่น ทรีตเม้นท์ สกรีนเพลย์ พวกนี้พี่ก็เรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วก็ออกกองเลย

กลับมาเมืองไทย ได้เริ่มทำหนังเลยไหม หรือต้องทำธุรกิจที่บ้านด้วย

ทำธุรกิจไปด้วยแล้วก็ทำหนังสั้นไปประกวดตามมูลนิธิ และองค์กรที่ประกวดหนังต่างๆ สมัยนั้นยังเป็นการประกวดที่ต้องส่งแผ่น CD VCD กันอยู่เลย แต่ส่งไปก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จนะ ตกรอบประจำ เพราะหนังเราก็อาจจะไม่ได้แมส หรืออาจจะไม่ได้อาร์ทอย่างที่กรรมการคาดหวัง คือช่วงนั้นหนังอาร์ทมันกำลังมา เราก็ทำหนังแบบที่เราชอบ ก็เลยไม่ค่อยได้ผลตอบรับเท่าไหร่

 

ทำธุรกิจและถ่ายหนังด้วย แบ่งเวลายังไง

จะบอกยังไงดี ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่คุณพ่อพี่เขาก็คาดหวังด้านธุรกิจกับเราเยอะ เขาก็จะรู้สึกว่า หนังมันอาจต้องใช้เวลาในการถ่ายทำ และเขายังไม่อยากเห็นเรามุ่งมั่นไปทางทำหนังมากนัก ก็เลยต้องปแอบถ่ายหนังก่อน แรกๆ นะ แอบถ่ายหนังช่วงหลังเลิกงาน วันเสาร์อาทิตย์ก็ไปแอบถ่าย แต่พอช่วงหลังๆ เนี่ย พอพี่เริ่มทำหนังเรื่องแรกออกมาเป็นเรื่องสั้นหลายๆ เรื่องรวมกัน เป็นหนังเรื่อง ‘มันส์ ทำเรื่อง’ แล้วก็มาทำเรื่อง  ‘Sur-Real’ พอมาเรื่อง ‘Sur-Real’ คุณพ่อแกไปดูมาแล้วแกชอบ ก็เริ่มยอมรับในตัวเราแล้ว

ตอนหลังๆ ก็ไม่ต้องไปแอบถ่ายหนังแล้ว ถ้าจะถ่ายหนังก็บอกกันได้ตรงๆ เลยว่าจะไปถ่ายหนัง แต่กองถ่ายของพี่ไม่ได้ใช้เวลาทำงานเหมือนกับกองถ่ายหนังทั่วๆ ไป เพราะหนังของพี่จะมีเวลาถ่ายเป็นช่วงๆ ไป เช่น พีเรียดนี้ถ่าย หยุดไปช่วงหนึ่ง แล้วกลับมาถ่ายใหม่ อะไรแบบนี้ เรียกว่าลางานไปถ่ายได้แล้ว

วิธีถ่ายทำแบบนี้ยากกว่าปกติไหม

คิวถ่ายทำเรียกว่าเอาสะดวกพี่ดีกว่า เพราะพี่เป็นเจ้าของเงินน่ะนะ ก็บอกตรงๆ ทั้งพี่สืบ บุญส่ง นาคภู่ ทั้งพี่เปีย ธีระวัฒน์ รุจินธรรม หรือในกองถ่ายเขาจะรู้ว่าสไตล์การทำหนังของพี่เป็นแบบนี้ เวลาทำหนังของพี่เป็นแบบนี้ เขาก็จะตามเรา ส่วนตัวพี่เองคิดว่าสำหรับการถ่ายทำนั้น เราค่อยๆ ไปดีกว่า จะเห็นได้ว่าคิวของกองที่เราออก ก็จะเป็นคิวแบบหลวมๆ พี่ไม่ได้จัดคิวแน่นๆ แบบเป๊ะๆๆๆ พี่ก็เลยจัดคิวถ่ายแบบที่ตัวเองชอบ แล้วพี่เป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายหนังฤดูฝน ก็เลยจะแยกถ่ายทั้งหมดเป็น 2 ก้อน คือหน้าร้อนช่วงหนึ่ง และหลังฝนอีกช่วงหนึ่ง

ช่วงที่เป็นหน้าฝนที่เราไม่ได้ออกกองถ่าย เราจะเอาฟุตเทจที่ถ่ายช่วงหน้าร้อนมาดูสิว่ามันจะมีการปรับแก้ไขอะไรได้บ้าง ซึ่งพี่ว่ามันทำให้เราเห็นทิศทางของหนังเราดีขึ้นว่าจะเป็นยังไง จะมีการปรับเปลี่ยนอะไรยังไงก็ไปเปลี่ยนในก้อนหลังฝนได้ อันนี้พี่ว่าดี

พี่เปีย ธีระวัฒน์ รุจินธรรม

ปัญหาและความสนุกในการถ่ายหนังแบบอินดี้

การถ่ายทำแบบอินดี้ พี่ว่ามันดีก็คือ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าคืออินดี้ Independence ก็คืออิสระ ถูกไหม เรียกว่าเป็นหนังตามสไตล์ที่พี่ชอบ เราอยากกจะทำอะไรก็ทำ เราไม่ต้องไปแบบทำหนังเพื่อตอบโจทย์นายทุน เพราะนายทุนของหนังก็คือเราเอง เงินเราเอง เราอยากทำอะไรก็ทำ คิดอะไรก็ทำได้ อันนี้พี่ว่าเป็นสไตล์ที่เราอยากจะให้มันเป็น

พอมาร่วมงานกับพี่สืบก็รู้สึกว่ามีการต่อเติม มีความคิดสร้างสรรค์ที่มันเพิ่มเติมมาจากที่เราคิดกันไว้ก็ได้ ส่วนพี่เปียจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ ออกมาก็เสนอมาได้เลย พี่เป็นคนเปิดกว้างอยู่แล้ว

กำกับภาพยนตร์ร่วมกับ บุญส่ง นาคภู่

กำกับหนังร่วมกับคนอื่น วิธีทำงานแตกต่างจากเดิมมากไหม

ต้องบอกก่อนว่าพี่เองตั้งแต่ก่อนหน้านี้นะ ตั้งแต่ทำหนังสั้นมา จนกระทั้งมาทำหนังเรื่อง ‘Resemblance / ปรากฏการณ์’ พี่เป็นคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแสดงมากเท่าที่ควร เราคิดว่าบางทีนักแสดงมันแอคติ้งได้ตามบท พูดได้ตามบทเราก็ถือว่าโอเคแล้ว  แต่พอหนังออกมาแล้วเรารู้สึกว่าหนังยังขาดความเป็นดรามาติก ซึ่งการแสดงพี่ว่ามันเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่พี่ไม่ได้เรียนรู้มา ก็เลยคิดว่าเอาพี่สืบมาช่วยในเรื่องของการแสดง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมามันก็เป็นผลลัพธ์ที่พี่รู้สึกว่าแฮปปี้มากๆ ถ้าเทียบกับเรื่อง ‘Resemblance / ปรากฏการณ์’ นะ

กับเรื่อง ‘Jenny, I Love You’ การแสดงของนางเอก การแอคติ้งของนักแสดง บทที่มันได้มา มันได้ไปมากกว่าที่พี่คิดเอาไว้ อันนี้ก็ช่วยได้เยอะ ส่วนทีมงาน พอได้ทีมงานพี่เปียมานี่ เรื่องภาพมันก็สวย การถ่ายทำมันก็จะมีจังหวะจะโคน แกจะมีบล็อกกิ้งที่สวยน่ะ อันนี้คือที่เห็นความแตกต่าง

พอได้ทีมพี่สืบ พี่เปียมาเป็นเฮด พวกทีมที่เหลือซึ่งเป็นทีมเดิมๆ ของเรามันก็มาประสานคุณภาพกันให้มากกว่าเดิม อันนี้พี่ว่าดี เพราะเขามีฝีมือกันทุกคนอยู่แล้ว

ทำไม ‘Jenny, I Love You’ ยืนโรงไม่นาน เกิดอะไรขึ้น

คือแม้ว่าพี่ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเอง แต่พี่มองในมุมมองของเจ้าของโรงหนังด้วยนะ มันก็คือภาคธุรกิจ เขามีหนังที่ทำเงินมากกว่า อันนี้เราก็ต้องยอมรับ ในมุมมองของพี่ พี่มองเป็นอย่างนี้นะ การที่หนังจะอยู่ฉายในโรงได้นานขนาดไหน อย่างแรกก่อนเลยนะ พี่ก็ไม่ได้มองว่า ‘Jenny, I Love You’ มันมีนักแสดงเบอร์ต้นๆ อย่างเรามีแทค ภรัณยู กับพี่ป๋อง กพล ก็เป็นลักษณะดาราที่มาร่วมเล่น ไม่ใช่ดารานำ อันนี้เราเข้าใจ แต่ว่าคนดูมันก็จะเป็นคนดูที่เป็นคนดูหนังจริงๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้มองว่านี่คือกลุ่มหนังตลาดที่เป็นแนว ผี ตลก รัก อันนี้พี่เข้าใจว่าโรงหนังเขาคงต้องการหนังที่มันทำเงิน ซึ่งของเรามันก็ไม่ใช่แล้ว

ประกอบกับช่วงที่ ‘Jenny, I Love You’ เข้าฉาย มันมีเรื่อง ‘สุสานคนเป็น’ มาชนเราด้วย พอฉายไปหนึ่งอาทิตย์มาเจอหนังมาร์เวลเรื่อง ‘Thunderbolts*’ ก็ต้องลาโรง แต่อันนี้เราต้องเข้าใจในเหตุผลของเขา ที่มันยืนอยู่จริงๆ คือการยืนต่อจากโรงหนังกระแสหลัก คือการย้ายมาฉายที่เฮ้าส์สามย่าน ซึ่งยืนโรงมาได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งผลตอบรับก็ดีอยู่เลยนะ ซึ่งอันนี้พี่คิดว่าก็โอเคกับมันอยู่

 

เหมือนว่าหนังไปอยู่ถูกที่ถูกโรงหรือเปล่า มันเลยไปด้วยกันได้

พี่ก็ต้องถามกลับว่า แล้วไอ้โรงหนังที่ฉายหนังอินดี้ในประเทศนี้มันมีอยู่โรงเดียวหรือเปล่า ซึ่งก็คือเฮ้าส์นี่แหละ เราก็ต้องตอบโจทย์ตรงนี้ด้วยการพาหนังของเราให้ไปอยู่ถูกที่ถูกทาง

การที่หนังเรื่องหนึ่งยืนโรงได้กี่วัน พิจารณาจากอะไร

มันเป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งพอเราคุยกับโรงหนังแล้วมันต่างจากที่ผ่านๆ มา อย่างหนังบางเรื่องเองเขามีดารานำเป็นดาราดัง แล้วเขามีแฟนคลับแน่น แฟนคลับก็อยากให้หนังของดาราที่เขาชอบอยู่ในโรงหนังนานๆ เขาก็แห่กันซื้อตั๋วหนัง จองกันทุกวันเลย พี่เห็นมาแบบนี้นะ เขาก็จองกันเลยว่าต้องให้อยู่ในโรงหนัง 3 อาทิตย์ในโรงหนัง SF กับ Major เขาจะมีแฟนคลับแน่นๆ ซื้อตั๋วแบบนี้อยู่แล้ว มันก็จะเป็นรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นเยอะ

อย่างบางโรงกับบางเรื่อง เขาก็จะมีราคาพิเศษ ซึ่งเจ้าของหนังคุยกับทางโรงว่าจะขอราคาลดเหลือ 60 กว่าบาทในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ที่หนังเข้าฉาย ซึ่งตรงส่วนต่างนี้เขาจะซัพพอร์ตเงินค่าตั๋วเอง มันจะมีทริคแบบนี้หลายๆ อย่าง เป็นปัจจัยแบบนี้เกิดขึ้นกับการยืนระยะการฉายหนังในโรงภาพยนตร์บ้านเรา

แล้วพี่จะเล่าให้ฟังอีกปัจจัยหนึ่ง อย่างเรื่องที่แล้ว เรื่อง ‘Resemblance / ปรากฏการณ์’ มันมีอนันดา เอเวอริ่งแฮม เล่นให้เราใช่ไหม จ่อยก็เป็นดาราใหญ่ เราก็คุยกับทางโรงหนังนะว่า เราขอให้หนังอยู่ในโรงฉายสัก 2-3 อาทิตย์ โดยพี่จะซื้อตั๋วหนังเหมาทุกรอบ เหมาสัก 30- 40 ที่นั่งเพื่อให้หนังมันอยู่ได้ แล้วคนที่มาดูหนังเรา เขาก็ซื้อแค่โก๋แก่ซองหนึ่งก็ได้ดูหนังแล้ว ไม่ต้องไปซื้อตั๋วหนัง อย่างนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หนังยืนโรงได้นาน

แต่ว่าพอ ‘Jenny, I Love You’ คือไม่ใช่ เรื่องนี้พี่ทำแบบออร์แกนิคล้วนๆ ไม่มีการใช้วิธีจ่ายค่าตั๋วล่วงหน้าเลย คือเอาคนดูจริงๆ เท่านั้น ตามที่มันจะเป็น พอมาช่วงอาทิตย์สุดท้ายที่ถูกถอดจาก SF จนเหลือแต่ฉายที่โรงหนังเฮ้าส์ พี่ก็ค่อยจัดรายการแบบนี้ที่เฮ้าส์ที่เดียว ทำอยู่แค่อาทิตย์หนึ่ง ซื้อโก๋แก่หนึ่งซองก็ได้ตั๋วหนัง 1 ใบ

ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง 

พี่ว่าดีนะ สำหรับพี่ถ้ามีความเป็นอินดี้ ช่วงที่มีแจกโก๋แก่ ทางเฮ้าส์เขาก็แฮปปี้ แต่พี่ก็คิดว่ามันก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทุกคนเขาก็ใช้วิธีการแบบนี้กันทั้งนั้นนะหนังสมัยนี้

 

ทำไมต้องมีโรงหนังอย่างโรงหนังเฮ้าส์ในเมืองไทย

ยิ่งมีหลายโรงก็ยิ่งดีใช่ไหม จริงๆ แล้วจะมีโรงหนังแบบนี้ได้ พี่ว่ามันต้องอาศัยทั้งองคาพยพของมัน ตั้งแต่คนทำ เงินทุน มีโรงที่จะฉาย แต่พี่รู้สึกว่าบ้านเรามันมีอยู่แค่โรงเดียว แล้วเอาจริงๆ แล้วพวกหนังอินดี้บ้านเราก็ไม่ได้ทำหนังที่จะตอบโจทย์คนที่มันเป็นแมสด้วย อันนี้พี่ก็มองว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ก็ต้องเอื้อกันทุกอย่าง ทั้งคนทำหนังและโรงที่ฉาย มันต้องไปด้วยกันทั้งหมด

หนังออกโรงแล้วไปไหนต่อ

ตอนนี้พี่คุยกับทางผู้จัดจำหน่ายว่าจะเอาหนังไปออกทางสตรีมมิ่ง กำลังมีการเจรจา กำลังมีการคุยกันอยู่ ซึ่งพี่ก็คิดว่าสตรีมมิ่งมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเข้าโรงหนังน้อยลงหมือนกัน เพราะคนเขารอดูกันในสตรีมมิ่ง ถ้าหนังเรื่องไหนไม่ได้ดึงดูดเขามากพอให้ต้องไปดูในโรงภาพยนตร์ให้ได้ในช่วงที่หนังออกฉาย เขาก็รอดูในสตรีมมิ่งดีกว่า คนดูหนังในโรงก็น้อยลง

 

สตรีมมิ่งเปลี่ยนพฤติกรรมคนดูหนังไหม

เปลี่ยนไปเยอะ และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีด้วย พี่มองว่าสังคมในบ้านเรามันเป็นสังคมที่มือถือสากปากถือศีลน่ะ ข่าวเร็วๆ นี้เรื่องพระวัดไร่ขิง และเมื่อวานนี้ ซีรีส์ ‘สาธุ’ ได้รางวัล ซึ่งพี่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ควรจะต้องถูกพูดมาตั้งนานแล้ว แต่มันพูดในโรงหนังหรือพูดทางอะไรไม่ได้ เดี๋ยวนี้คนทำหนังก็ไปพูดในสตรีมมิ่ง  ซึ่งพี่ว่าสตรีมมิ่งเป็นพื้นที่ที่เราพูดได้หลายๆ เรื่องเลย คนทำหนังอินดี้มันก็อยากทำหนังที่คนในสังคมเขาไม่พูดกันนะ แล้วเรื่องที่มันเป็นเรื่องอีโรติก หรือเรื่องฉากเซ็กซ์ต่างๆ นาๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในสตรีมมิ่ง เกือบทุกเรื่องมีอยางนี้หมด จูบจริง จับจริง เป็นเรื่องปกติ ซึ่งพี่ว่าดี มันทำให้การ Creativity อะไรใหม่มันไปอยู่ในสตรีมมิ่งซะเยอะ

 

แล้วอยากทำหนังลงสตรีมมิ่งไหม

ไม่อยาก เพราะพี่รู้สึกว่าคนที่ทำหนังอยากให้หนังตัวเองฉายในโรงหนัง ยังไงโรงหนังก็มีเสน่ห์ เราไปนั่งในโรงหนัง จะดีจะชั่ว บรรยากาศของหนังมันได้ พี่ชอบอะไรแบบนี้ แล้วอีกอย่างที่พี่ไม่ชอบเพราะพี่รู้สึกว่าหนังปัจจุบันนี้มันมีความเป็น CG มันใช้พวกเทคนิคอะไรเยอะ เลยรู้สึกว่าหนังประเภทแบบนี้ มันจะปรากฏอยู่ในสตรีมมิ่งซะเยอะ ความเป็นดราม่าติกอะไรแบบนี้ถ้าเราไปดูในโรงหนังเราจะได้ Mood กว่า

เรียนรู้อะไรบ้างจากการเป็นผู้สนับสนุนหนังไทย สู่การลงมือกำกับเอง

เรื่องแรกก่อนนะ เรื่องที่พี่มาเป็นคนซัพพอร์ตหนัง อันนี้คือความชอบส่วนตัว เพราะพี่รู้สึกว่ามันมีหนังอินดี้อีกหลายเรื่อง เป็นหนังนอกกระแสที่ไม่ใช่หนังแมสนะ เดี๋ยวนี้พี่รู้สึกว่าเทรนด์ของหนังโลกสำหรับหนังอาร์ทสมัยนี้มันไม่เหมือนกับหนังอาร์ทสมัยก่อนแล้ว หนังอาร์ทสมัยก่อน เช่น หนังของพี่เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล มันจะเป็นอาร์ทแบบเป็นหนังส่วนตัวที่เขาเรียกๆ กัน

แต่สมัยนี้พี่รู้สึกว่าช่วงหลังๆ เนี่ย จะเป็นหนังรางวัลคานส์หรือรางวัลอะไรก็ตาม มันเริ่มจะเป็นหนังที่เล่าเรื่องแต่มีความเป็นอาร์ทในตัว เช่น ‘Parasite’ เช่น ‘Anora’ ซึ่งมันมีทั้งการเล่าเรื่องและมีความอาร์ทในตัวมัน ซึ่งพี่รู้สึกว่ากับความเป็นอาร์ทและการที่มันจะแอทแทคตลาดแมส มันเริ่มเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้พี่รู้สึกอย่างนั้นนะ แล้วหนังประเภทแบบนี้มีอีกตั้งหลายเรื่องในโลก ซึ่งคนไทยไม่มีโอกาสได้ดู ซึ่งพี่ก็หวังว่าผู้จัดจำหน่ายของเรา ถ้าเขาเอาเข้ามานะ ก็อยากจะให้นำเข้าหนังที่เป็นแบบนี้ ที่เป็นหนังอาร์ทแต่เล่าในเชิงแมส เพื่อให้คนในตลาดกลุ่มแมสดูได้ด้วย จะได้มีทางเลือกหลายๆ อย่างให้คนดู นี่เป็นสิ่งที่ส่วนตัวเราอยากให้เป็นแบบนั้น

ส่วนเรื่องประเด็นที่ 2 ที่เป็นคนทำหนัง พี่เรียนรู้อะไรเหรอ เรียนรู้ว่าการทำหนังเป็นสิ่งที่เรารักและรู้สึกว่า เราได้ทำในสิ่งที่เราต้องการ เรามีแพสชั่นยังไงเราก็แสดงออกไป  ก็คิดอยู่แค่เนี้ย และก็รู้สึกว่ามันเป็นเสน่ห์ และเป็นอะไรที่เราหลงรักกับมัน เราชอบทุกขั้นตอนในการทำหนัง ตั้งแต่พรีโปรดักชั่น โปรดักชั่น โพสต์โปรดักชั่น เราชอบทั้งหมด รู้สึกว่าสนุกกับมัน แล้วก็รักมัน

 

ที่ผ่านมาให้เงินสนับสนุนแวดวงศิลปะและหนังไทยเยอะไหม

เรื่องมีเงินแล้วทำหนังเนี่ย เงินที่เราใช้ พี่ก็ไม่ได้เรียกว่าใช้เงินได้เยอะอย่างนั้นนะ ต้องบอกก่อนว่าเราทำหนังในสเกลที่อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 6-7 ล้านบาทต่อเรื่อง และหนังหนึ่งเรื่องมันใช้เวลา เพราะพี่ทำหนังตามเวลาสะดวกของพี่ อย่างหนังเรื่อง ‘Jenny, I Love You’ เราถ่ายคิวสุดท้ายคือเดือนธันวา พอมาต้นปีมีนาคม โควิด-19 มาแล้ว แล้วหนังเพิ่งมาออกฉายเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง มันใช้เวลากี่ปี

สไตล์พี่ทำหนังคือพี่ไม่ได้รีบ พี่รู้สึกว่าการทำโพสต์โปรดักชั่นเราต้องใช้เวลาคราฟท์กับมัน เราต้องประณีตกับมัน เราค่อยๆ ทำไป เมื่อไหร่ที่เราเก็บเงินจนเราพร้อมที่จะโปรโมตเราก็เอาหนังมาออกทีเดียว พี่ไม่ได้เร่งหรือต้องทำหนังเพื่อตอบโจทย์นายทุนหรือใคร แล้วต้องเร่งหนังออกช่วงนั้นช่วงนี้ เปล่า เราก็ทำอย่างที่เราต้องการ แล้วเงินที่เราใช้ก็ไม่ได้เยอะขนาด 40-50 ล้าน แบบหนังทั่วๆ ไป พี่ไม่ได้ใช้เงินขนาดนั้น

มีความคิดอยากทำหนังแมส ใช้ทุนสร้างเยอะๆ ไหม

พี่สืบแกปั่นพี่อยู่ทุกวัน ซึ่งพี่ก็คิดว่าเรื่องต่อไป อย่างหนึ่งที่รู้สึกเลยนะคืออยากทำหนังที่มันท้าทายตัวเองเสมอ อย่างเรื่อง ‘Resemblance / ปรากฏการณ์’ ตอนนั้นมันอยู่ในอารมณ์ที่พี่อยากเป็นเดวิด ลินซ์ น่ะ กูอยากจะเป็นเดวิด โครแนนเบิร์ก อ่ะ อะไรอย่างนี้ แต่อย่าง ‘Jenny, I Love You’ อยากกจะเป็น ทาเคชิ มิยาเกะ อยากจะเป็นอะไรที่เล่าเรื่องดราม่าแบบ บุญส่ง นาคภู่ แต่มันจะมีความเป็น ทาเคชิ มิยาเกะ พี่ก็จะหล่อหลอมบทบาทของพี่ให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเรื่องต่อไป มันก็จะมีอะไรที่แตกต่างจากเรื่องที่ทำ และพี่ต้องการหนังที่มันท้าทายตัวเรา คือ หนังหลายๆ ประเภท ขึ้นอยู่กับอารมณ์นั้นพี่อยากเป็นใคร พี่อยากทำหนังแนวไหน มีใครเป็นไอดอล คือพี่ชอบอะไรที่มันหลากหลาย ไม่อยากจะมายึดว่า จุมภฏแม่งต้องเป็นแบบเดียว เราไม่เอาอย่างนั้น

 

สปอยล์นิดนึงได้ไหม

บอกปุ๊บจะรู้เลยน่ะสิ เอาเป็นว่าเรื่องหน้าเนี่ย คือช่วงหลังๆ พี่มาอ่านนวนิยายไทย แล้วพี่สืบส่งหนังสือนิยายมาให้อ่านเล่มหนึ่งแล้วพี่ชอบ ที่ชอบคือมันมีความเป็น Myth และความเป็นแฟนตาซีอยู่ข้างในด้วย บอกได้เลยว่ามันจะแตกต่างจากที่เคยเห็นมา มันจะมีการเล่าเรื่องแบบ Literature แต่จะมีความแฟนตาซีอยู่ในตัว ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายและมันใหม่มากสำหรับเรา

ทำไมถึงสนับสนุนวงการหนังและศิลปะในเมืองไทย

ส่วนตัวคือชอบ อย่างวงการหนังสือเนี่ย เราชอบอ่านหนังสือ พี่เพิ่งมาเริ่มอ่านนิยายไทย และรู้สึกว่าในวงการนักเขียนไทย จะว่าไปมันเปิดกว้างมากกว่าหนังนะ เหมือนกับว่าพี่หาหนังสือที่ใช้คำอีโรติกหรือหนังสือที่เขียนแบบอีโรติก พี่ว่ามันยังมีมากกว่าภาพยนตร์ด้วยซ้ำ ภาพยนตร์มันอาจจะเป็นอะไรที่คนเข้าไปซื้อตั๋วแล้วก็ดูได้เลย แต่หนังสือมันต้องอ่านไง แล้วคนอ่านมันอาจจะรับสาส์นได้ไม่เหมือนกัน

บางคนก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะอ่านเพราะเขาไม่ใช่นักอ่านจริงๆ เขาก็จะอ่านได้น้อย แต่หนังสือมันจะเป็นจุดที่พี่รู้สึกว่ามันไม่มีการเซ็นเซอร์ หรือเซ็นเซอร์น้อยกว่าภาพยนตร์ด้วยซ้ำไป และนักเขียนไทยเก่งๆ หลายคนเราก็ช่วยนะ เราก็อยากให้คนอ่านได้อ่านงานเขียนดีๆ เหมือนกับภาพยนตร์ที่เมื่อกี้พี่พูดไปแล้วอยากให้คนดูรับหนังที่มันใหม่ๆ มีอะไรที่มันหลากหลายกว่าที่เขาเคยเห็น ก็อยากจะทำละคร ละครเวทีบ้าง พวกแดนซ์อะไรแบบนี้เราก็ช่วย เพราะพี่คิดว่าสื่อในศิลปะมันมีมากกว่าภาพยนตร์ มันมีอะไรหลายๆ อย่าง หลายแขนงที่น่าสนใจ

 

เงื่อนไขที่โก๋ฟิล์มพิจารณาในการของบประมาณทำหนัง

ถามดี เรื่องนี้มีหลายคนมาก เฟซบุ๊กพี่มีหลังไมค์ถามมาทุกอาทิตย์ จากหลายสถาบัน เด็กมาของบเยอะมากๆ แล้วพี่ก็จะบอกเลยว่า ส่วนใหญ่นะ คนที่ได้งบไปเนี่ย มันจะไปทุ่มกับโปรดักชั่น จะมาขอเงินเราไปช่วยเรื่องโปรดักชั่น ซึ่งพี่ก็บอกว่าโปรดักชั่น คุณคิดได้เรื่องหนึ่ง แต่พอปลายทางต้องคิดด้วยนะว่ามันจะไปฉายที่ไหน ช่องทางของเราคืออะไร มีงบสำหรับเอาไว้สำหรับหลังหนังฉายไหม เราอยากจะให้หนังของเราฉายโรง ต้องมาขอเงินอีกนะ แล้วฉายโรงไปแล้ว มันอยู่ในโรงได้นานไหม คือในประเทศนี้พี่ว่าคนทำหนังคิดแค่นั้นไม่ได้ มันคิดแค่ว่าทำแค่หนังแล้วจบไม่ได้ มันต้องคิดด้วยว่าปลายทางของคุณคืออะไร

อย่างหนังของเขาเองอาจจะเป็นหนังอินดี้ ดาราไม่มี ใครจะไปดู มันต้องคิดในมุมอย่างนี้ด้วยไง แล้วพี่ก็ปฏิเสธไปหลายคน แล้วหลายคนที่มาขอเงิน มาของบเราเนี่ย บางทีก็ทำเป็นหนังอาร์ท แล้วบอกจริงๆ เลย อันนี้พี่พูดหลายสื่อมากๆ แล้ว ขอฝากทางนี้อีกช่องทางหนึ่งแล้วกัน ทุกคนทำหนังตามรอยพี่เจ้ยหมดเลย เข้าป่ากันทุกคน เรื่องอื่นมันก็เล่าได้ป่ะ พี่ว่าเราลองทำหนังที่มันรองรับคนดูหน่อยสิอะไรแบบนี้ คือหนังนี่ยังซัพพอร์ตอยู่นะ แต่ซัพพอร์ตหนังที่พี่คิดว่ามันสามารถตอบโจทย์และก็มีปลายทางให้กับภาพยนตร์ของเขาด้วย เราก็จะช่วย

แสดงว่าถ้าคิดครบๆ แล้วมาคุยกันอาจขอทุนง่ายกว่า

พี่อยากให้เขาดูโมเดลปัจจุบันน่ะ อย่างเรื่อง ‘Parasite’ กับ ‘Anora’ พี่ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีนะ ถามว่าอาร์ทไหม มันก็อาร์ทนะ อินดี้ด้วย คนดูแมสก็สนุก ทำไมไม่ทำหนังอย่างนี้กัน พี่คิดอย่างนี้ แล้วทุกคน หนังที่มาของบกับทางเรา ก็จะประกวดชนะหนังสั้นเวนิส ชนะหนังสั้นเบอร์ลิน แม่งก็เข้าป่ากันทั้งนั้นน่ะ แล้วพี่แบบเอามาได้ยังไงอ่ะ So What นึกออกป่ะ ไอ้อย่างนี้พี่ก็จะปฏิเสธไป ก็ปฏิเสธไปหลายรายเลยนะครับ

 

อยากเห็นอะไรในวงการหนังไทย

ก็ที่พูดไปนั่นแหละ อยากจะเห็นหนังอินดี้ที่คิดถึงคนดู พี่คิดว่าคนทำหนังอย่างพี่หรือพี่สืบ เราไปคิดแค่หนัง ทำเสร็จ แล้วจบอย่างที่เราต้องการไม่ได้ พี่คิดว่าเราต้องทำงานหนักกว่านั้น คนทำหนังมันต้องเป็นคนขายหนังด้วย ต้องรู้ด้วยว่าหนังตัวเองต้องขายจุดไหน ขายอะไร มันเป็นอย่างนั้น มันจะเหนื่อยไปอีกขั้นหนึ่ง อยากให้คนทำหนังยุคนี้มองในมุมอย่างนี้ด้วย เท่านั้นที่อยากจะฝากเอาไว้ครับ

 

รู้สึกอย่างไรที่คนมองว่าเป็นเศรษฐีทำหนัง

โอ๊ย พี่โดนทุกวัน อย่างที่บอกไปว่าทำหนังปัจจัยคือเรื่องเงิน แต่หนังของพี่ไม่ได้ใช้เงินเยอะขนาดนั้น เราก็ใช้เท่าที่เราคิดว่ามันดูโอเค และก็ไม่ได้เยอะถ้าเทียบกับหนังที่มันเป็นแมสจริงๆ พี่คิดว่าเราก็ทำได้อย่างที่เราต้องการ แล้วก็สุดท้าย ตัวพี่เองก็รู้สึกว่า ในชีวิตการทำธุรกิจหรือชีวิตทั่วไปของพี่มันมีทุกอย่างหมดแล้ว เราเอาเงินมาซื้อความสุขตรงนี้ดีกว่า

อันนี้คือสิ่งที่พี่รู้สึกว่าเรามีความสุขกับตรงนี้ •

 

รายงานพิเศษ | กรกฤษณ์ พรอินทร์

 

 

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

‘ลิณธิภรณ์’ ลุยสานต่อทุน ODOS รุ่น 3 คัด 1,200 เด็กยากจนพิเศษทั่วประเทศ ย้ำรัฐบาล ‘แพทองธาร‘ มุ่งสร้าง “สะพานเชื่อมโอกาส” ให้ช้างเผือกไทยก้าวสู่เวทีโลก
ลอย แนะทีมไทยแลนด์ เจรจาเปิดตลาดสินค้าเป้าหมายสหรัฐฯ แบบเจาะจง – ขอยกเว้นภาษีเฉพาะ sector วางแผน3ระยะ
‘เสียดินแดน’ เป็นประวัติศาสตร์มโน
The Good, the Bad and the Ugly 20 ปี เล่นการเมือง ในหุบเหว
เลือกตั้งเมียนมา วิถีที่สวนทางกับสันติภาพ
พรรคอเมริกา ทางเลือกใหม่มะกันชน กับเส้นทางสุดหิน
‘อานันท์ ปันยารชุน’ ย้อนอดีตยุค ‘ปลายสงครามเย็น’ ก่อนเปิดม่านสัมพันธ์ ‘ไทย-จีน’
‘ว่าน’ ธนกฤต เปิดใจรักครั้งใหม่ เรียบง่ายและลงตัว กับ ‘สารวัตรบีบี’ พ.ต.ต.หญิง ศรัญญา
‘สงฆ์ไทย’ กลับหลังหัน ‘นิพพาน’ เส้นทางที่ไม่มีอยู่จริง
‘AI’ ปฏิวัติงานสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 นำร่อง ทางออกวิกฤต ‘พงส.’ ไทย
ผ่าปฏิบัติการล่า ‘ก๊ก อาน’ นักธุรกิจ-ส.ว.สนิท ‘ฮุน เซน’ หัวโจกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปปง.ลุยยึดทรัพย์พันล้าน
ดาวกับดวง ประจำวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568