

การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ
สองกุนซือเบื้องหลังภาษีทรัมป์
: 2) สตีเวน มีรอน
รายงานข่าวการเงิน & เศรษฐกิจของนิตยสาร The Economist ฉบับประจำวันที่ 12 เมษายนศกนี้ เรื่อง “The court’s finest minds: How to explain the tariff madness of King Donald” (p.66, “สมองดีที่สุดของราชสำนัก : จะอธิบายอาการวิปลาสเรื่องภาษีนำเข้าของกษัตริย์โดนัลด์ว่าอย่างไร?”) ได้เอ่ยชื่อนักปราชญ์ราชบัณฑิตอเมริกันผู้อยู่เบื้องหลังภาษีทรัมป์ไว้คนหนึ่งว่าได้แก่ Stephen Miran (https://www.economist.com/finance-and-economics/2025/04/10/the-tariff-madness-of-king-donald-explained)
สตีเวน มีรอน จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปี 2010 และเข้าทำงานเป็นนักยุทธศาสตร์อาวุโสที่บริษัทกองทุนรวมบริหารความเสี่ยงมูลค่า 31 พันล้าน US$ ชื่อ Hudson Bay Capital Managment
ต่อมา หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสอง มีรอนได้เขียนงานที่มีนัยเชิงนโยบายให้บริษัทเมื่อเดือนพฤศจิกายนศกก่อน เรื่อง “คู่มือผู้ใช้สำหรับปรับโครงสร้างระบบการค้าโลกใหม่” (A User’s Guide to Restructuring the Global Trading System) ซึ่งเปรียบไปแล้วก็เหมือนใบถวายตัวสมัครงานด้วยนโยบายเศรษฐกิจการค้าต่อกษัตริย์โดนัลด์นั่นเอง (ดู https://www.hudsonbaycapital.com/documents/FG/hudsonbay/research/638199_A_Users_Guide_to_Restructuring_the_Global_Trading_System.pdf)
ผลก็คือ เขาถูกเสนอชื่อจากทรัมป์เมื่อปลายเดือนธันวาคมศกก่อนให้รับตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจซึ่งเปรียบเสมือนคลังสมองนโยบายประจำทำเนียบขาวของประธานาธิบดีสมประสงค์ (https://www.instagram.com/cointelegraph/p/DD7XlgcxtXq/)
แล้วอะไรคือข้อถกเถียงและข้อเสนอหลักที่มีนัยนโยบายของสตีเวน มีรอน ในเอกสาร “คู่มือผู้ใช้ฯ” เล่า?
เขานำเสนอยุทธศาสตร์อันกว้างขวางพิสดารที่มุ่งทำให้การค้าระหว่างประเทศกลับมาสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งเพื่ออำนวยประโยชน์แก่สหรัฐทั้งทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ กรอบยุทธศาสตร์ที่เขาเสนอซึ่งส่งอิทธิพลต่อนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์#2 นี้บูรณาการข้อพิจารณาด้านภาษีนำเข้า การปรับค่าเงินสกุลต่างๆ และความมั่นคงแห่งชาติเข้าด้วยกันเป็นเอกภาพ
ข้อถกเถียงหลักของเอกสาร ได้แก่ :

Stephen Miran ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ & งานเขียนสอดรับนโยบายภาษีทรัมป์เรื่อง “คู่มือผู้ใช้สำหรับปรับโครงสร้างระบบการค้าโลกใหม่”
1.เข้าแก้ไขปัญหา US$ แข็งค่าเกินไป : มีรอนระบุว่าการที่เงินตราสกุล US$ แข็งค่าเกินไปอย่างต่อเนื่องยาวนานซึ่งถูกขับดันจากอุปสงค์ของทั่วโลกต่อสินทรัพย์สำรองที่อยู่ในเงินตราสกุล US$ นั้นเป็นประเด็นปัญหาแกนกลางที่บ่อนทำลายความสามารถในการแข่งขันของหัตถอุตสาหกรรมอเมริกันลง เขานำเสนอทั้งยุทธศาสตร์ลำพังฝ่ายเดียวและยุทธศาสตร์พหุภาคีเพื่อปรับมูลค่าเงินตราสกุลต่างๆ เสียใหม่ โดยมุ่งหมายให้สินค้าออกอเมริกันแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดโลกและช่วยลดภาวะขาดดุลการค้าของสหรัฐลง
2. ใช้ภาษีนำเข้าในเชิงยุทธศาสตร์ : เอกสารป่าวร้องส่งเสริมให้ใช้ภาษีนำเข้าไม่เพียงแต่ในฐานะกลไกปกป้องการค้าเท่านั้น หากในฐานะเครื่องมือทางยุทธศาสตร์เพื่อเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าให้ได้เงื่อนไขการค้าที่ดีขึ้นสำหรับอเมริกาและบีบคั้นบังคับให้ปรับแต่งมูลค่าเงินตราต่างประเทศสกุลต่างๆ ด้วย
มีรอนเสนอแนะให้ใช้ภาษีนำเข้าเป็นคานงัดต่อรองเพื่อริเริ่มข้อตกลงเงินตราสกุลต่างๆ ระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ในทำนองเดียวกับ Plaza Accord (ข้อตกลงระหว่างฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐเรื่องปรับแต่งค่าเงินตราสกุลต่างๆ ใหม่เพื่อแก้ปัญหาสหรัฐขาดดุลการค้า ณ โรงแรมพลาซาในมหานครนิวยอร์กเมื่อปี 1985 (ดู https://th.wikipedia.org/wiki/ข้อตกลงพลาซา)
โดยให้ชื่อใหม่ว่า Mar-a-Lago Accord (ตามชื่อรีสอร์ตของทรัมป์ที่ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การประสานความพยายามแก้ไขปัญหาค่าเงินตราสกุลต่างๆ ซึ่งเหลื่อมเขวลักลั่นผิดที่ผิดทาง
3.เชื่อมโยงการค้าเข้ากับความมั่นคงแห่งชาติ : มีรอนเน้นย้ำการบูรณาการนโยบายเศรษฐกิจเข้ากับวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ เขาเสนอให้เอาการทำข้อตกลงทางการค้าทั้งหลายและการเข้าถึงตลาดอเมริกันไปขึ้นกับการที่เหล่าประเทศพันธมิตรต้องหันมาฝักใฝ่ผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐซึ่งรวมถึงข้อผูกมัดด้านการป้องกันประเทศด้วย แนวทางที่ว่านี้มุ่งประกันให้หุ้นส่วนเศรษฐกิจเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตรฺ์ที่กว้างขวางออกไป
4. ปฏิรูประบบเงินตราสกุลสำรอง : เอกสารของมีรอนวิพากษ์ระบบการเงินระหว่างประเทศปัจจุบันที่ซึ่งสหรัฐต้องแบกรับภาระต้นทุนเกินสัดส่วนในการสนองสินทรัพย์สำรองให้แก่โลก เขาเรียกร้องให้ปรับโครงสร้างมันเสียใหม่ด้วยการจัดสรรแบ่งปันภาระต้นทุนเหล่านี้กันใหม่ในบรรดาประเทศคู่ค้าทั้งหลายให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น โดยอาจทำผ่านกลไกที่ผูกโยงความร่วมมือทางเศรษฐกิจเข้ากับการแบ่งปันความรับผิดชอบในการธำรงรักษาระบบการเงิน
5. ปลุกอุตสาหกรรมในประเทศฟื้นคืนมาใหม่ : มีรอนเพ่งเล็งรวมศูนย์ไปที่การสร้างสมรรถภาพอุตสาหกรรมสหรัฐขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่สำคัญยิ่งต่อความมั่นคงแห่งชาติและความยืดหยุ่นคงทนทางเศรษฐกิจ
อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การป้องกันประเทศและพลังงาน เขาป่าวร้องส่งเสริมมาตรการทางนโยบายต่างๆ รวมทั้งการลดละเลิกระเบียบกฎเกณฑ์กำกับควบคุมและการลงทุนอย่างเล็งเป้าหมาย เพื่อเพิ่มพูนหัตถอุตสาหกรรมในประเทศและลดทอนการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานต่างชาติลง
สรุปได้ว่าเอกสารคู่มือผู้ใช้ฯ ของสตีเวน มีรอน เป็นเค้าโครงพิมพ์เขียวที่ยืนกรานอย่างฮึกห้าวให้แปลงโฉมพลวัตการค้าโลกเสียใหม่ โดยจัดวางฐานะตำแหน่งสหรัฐอยู่ในจุดที่สามารถฉวยเอาความเข้มแข็งทางอุตสาหกรรม และความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์มาเป็นของตนในภูมิทัศน์ระหว่างประเทศที่แข่งขันกันเคี่ยวข้นขึ้นทุกที
ต่อมา เมื่อวันที่ 7 เมษายนศกนี้ สตีเวน มีรอน ก็ได้รับเชิญไปปราศรัยที่สถาบันฮัดสัน (สถาบันคลังสมองด้านนโยบายซึ่งไม่ฝักใฝ่พรรคฝ่ายใดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.) เขาได้เน้นย้ำเรื่องบทบาทของสหรัฐในการจัดหา “สินค้าสาธารณะ” มาสนองให้โลก โดยเฉพาะความมั่นคงทางทหารและ US$ สำหรับใช้เป็นเงินตราสำรองของโลกอีก เขาเถียงว่าคุณูปการดังกล่าวของสหรัฐทำให้สหรัฐต้องแบกภาระต้นทุนอย่างสำคัญซึ่งรวมทั้งการตกอยู่ในภาวะขาดดุลการค้าต่อเนื่องยาวนานและภาคหัตถอุตสาหกรรมอ่อนแอลง ดังนั้น เขาจึงเรียกร้องให้ชาติอื่นๆ ช่วยแบ่งเบาภาระนี้ไปอย่างเป็นธรรมยิ่งขึ้นด้วย
ประเด็นหลักในคำปราศรัยของมีรอนได้แก่ : (https://www.whitehouse.gov/briefings-statements/2025/04/cea-chairman-steve-miran-hudson-institute-event-remarks/)
– สหรัฐจัดหาสินค้าสาธารณะมาสนองให้โลก : มีรอนเน้นย้ำว่าสหรัฐหยิบยื่นสินค้าสาธารณะสำคัญสองอย่างให้แก่โลก ได้แก่ ร่มความมั่นคงเพื่อประกันสันติภาพโลกและระบบการเงินบนฐาน US$ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่การค้าระหว่างประเทศ เขาตั้งข้อสังเกตว่าการธำรงรักษาระบบเหล่านี้ยัดเยียดภาระต้นทุนมากพอควรให้แก่สหรัฐทั้งในเชิงงบประมาณป้องกันประเทศและภาวะเสียดุลทางเศรษฐกิจ
– ผลลัพธ์สืบเนื่องทางเศรษฐกิจ : อุปสงค์ต่อ US$ เพื่อเอาไปใช้เป็นเงินตราสำรองได้นำไปสู่การที่ US$ แข็งค่าเกินไป ส่งผลให้สหรัฐขาดดุลการค้าเรื้อรัง ในทางกลับกันภาวะขาดดุลดังกล่าวก็สมทบส่วนให้ภาคหัตถอุตสาหกรรมของสหรัฐเสื่อมถอยลงและกระทบต่อชุมชนคนงานอเมริกันทั้งหลายในแง่ลบด้วย
– เรียกร้องให้ช่วยกันแบ่งปันภาระ : มีรอนเสนอให้บรรดาประเทศที่ได้ประโยชน์โภชผลจากระบบความมั่นคงและระบบการเงินของสหรัฐช่วยสมทบส่วนแบ่งเบาภาระไปโดยตรงยิ่งขึ้น เขาเสนอว่าชาติต่างๆ พอจะแบ่งปันภาระที่ว่านี้ได้ 5 ทางด้วยกัน กล่าวคือ :
1. ยอมรับภาษีนำเข้าทรัมป์เสียโดยดุษณี ไม่คิดตอบโต้แก้เผ็ด อันจะเป็นการสนองรายได้ให้กระทรวงการคลังสหรัฐ
2. ขจัดปฏิบัติการการค้าที่ไม่เป็นธรรมและซื้อสินค้านำเข้าเพิ่มจากสหรัฐ
3. เพิ่มพูนค่าใช้จ่ายด้านป้องกันประเทศและจัดหายุทโธปกรณ์ที่ทำในสหรัฐเพิ่มขึ้น
4. ลงทุนตั้งโรงงานหัตถอุตสาหกรรมขึ้นในสหรัฐอันจะเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐไปได้
5. จ่ายตังค์เข้าคลังสหรัฐโดยตรงเลยในทำนองค่าธรรมเนียมผู้ใช้พันธบัตรสหรัฐ
– ใช้ภาษีนำเข้าทรัมป์เป็นเครื่องมือ : เขากล่าวปกป้องการใช้ภาษีนำเข้าเป็นวิธีการบีบคั้นบังคับประเทศอื่นๆ ให้ออกเงินสมทบช่วยสหรัฐ โดยเถียงว่าชาติต่างๆ ที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมากมายใหญ่หลวงนั้นพึ่งพาอาศัยตลาดสหรัฐอย่างหนัก และฉะนั้นจึงควรแบกรับภาระต้นทุนภาษีนำเข้ามากกว่าที่สหรัฐต้องแบก
จะเห็นได้ว่าคำปราศรัยของสตีเวน มีรอน ตอกย้ำจุดยืนรัฐบาลทรัมป์#2 ในการสร้างสมดุลด้านความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ในโลกและใช้พลังอำนาจของตลาดสหรัฐเป็นคานงัดเพื่อบรรลุการที่หุ้นส่วนระหว่างประเทศของสหรัฐจะสมทบส่วนแก่สหรัฐอย่างเป็นธรรมยิ่งขึ้น
บทวิพากษ์วิจารณ์
ทว่า การคลี่คลายขยายตัวของวงการการเงินระหว่างประเทศที่เป็นจริงหลังประกาศภาษีทรัมป์เมื่อ 2 เมษายนศกนี้ ไม่เป็นไปดังที่คู่มือผู้ใช้ฯ ของมีรอนคาดหมาย!
ประเด็นอยู่ตรงยุทธศาสตร์ของมีรอนในคู่มือผู้ใช้ฯ จะได้ผลขึ้นอยู่กับภาษีทรัมป์ส่งผลอย่างไรต่อค่าเงิน US$
มีรอนคาดการณ์ว่าในทางทฤษฎี ภาษีนำเข้าทรัมป์ที่พุ่งสูงขึ้น จะทำให้สินค้าเข้าสหรัฐจากจีนแพงขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลให้มีอุปสงค์ในสหรัฐต่อสินค้าเข้าจากจีนน้อยลง ทั้งหมดนี้จะทำให้ค่าเงินหยวนของจีนตกต่ำลงเมื่อเทียบกับ US$ ในที่สุด
กล่าวคือ [Trump Tariffs สูงขึ้น -> มูลค่า China Yuan ต่ำลง -> มูลค่า US$ สูงขึ้น]
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อำนาจซื้อของผู้บริโภคอเมริกันก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ค่าที่การขยับเปลี่ยนของอัตราภาษีนำเข้ากับการขยับเปลี่ยนของมูลค่าเงินตราหักกลบลบกันไป แต่เนื่องจากพลเมืองของประเทศผู้ส่งออก (จีน) ยากจนลงโดยเปรียบเทียบเพราะการขยับเปลี่ยนมูลค่าเงินตรา (สกุลหยวนจีน) ประเทศผู้ส่งออกจึงกลายเป็นผู้จ่ายหรือแบกรับภาระภาษีทรัมป์ไปนั่นเอง ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐก็เก็บรายได้เข้าคลังเหนาะๆ
นี่กล่าวในทางทฤษฎีของมีรอนเท่านั้นนะครับ
แต่ในทางเป็นจริง การณ์กลับกลายเป็นว่าหลังประกาศภาษีทรัมป์ นักลงทุนพากันเทขายสินทรัพย์ US$ ทิ้ง ส่งผลให้มูลค่า US$ แทนที่จะเพิ่มขึ้นตามทฤษฎีของมีรอน กลับดันตกลงไป 8% เสียฉิบ!
รายงานข่าวแจ้งว่าในการประชุมปิดวงที่ทำเนียบขาวซึ่งออกหน้าจัดแจงโดย Citigroup ให้มีรอนพบปะแลกเปลี่ยนถกเถียงกับตัวแทนบริษัทลงทุน 15 คนเมื่อวันศุกร์ที่ 25 เมษายนศกนี้ พอถูกบรรดานักลงทุนซักไซ้ไล่เลียงหนักเข้า มีรอนก็มีอันตอบเลอะเทอะไม่เป็นเรื่องเป็นราวและจนแต้ม (incoherent & out of his depth ดู Greg Mckenna, “Top Trump economist derided as ‘incoherent’ on tariffs after closed-door meeting with investors”, Fortune, 1 May 2025)
นั่นแปลว่าภาษีทรัมป์นั่นแหละจะทำให้เงินเฟ้อของแพงคนอเมริกันเดือดร้อนต้องแบกรับภาระเสียเอง!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต



