

เมนูข้อมูล | นายดาต้า
ชีวิตในวิถี ‘ขาดศรัทธา’
แม้ที่สุดจะจบลงด้วยบทสรุปว่าเป็น “ปรากฏการณ์งี่เง่า” ที่ก่อกระแสขึ้นมาจากการขาดสติของผู้คนสองประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการชี้นำความคิดของคนทั่วไป
“การท้าทายที่จะเปิดสงครามไทย-กัมพูชา” ที่ถึงวันนี้เป็นได้แค่เรื่องเลอะเทอะที่ค้างในอารมณ์ของกลุ่มคนที่เสียสติไป
ไม่ว่าใครที่มีสติสักหน่อยย่อมนึกไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ที่ผู้นำประเทศที่ผ่านความรู้ความคิดในเรื่องการค้าการลงทุนที่กระทั่งก้าวผ่านยุคสมัย “โลกาภิวัตน์” โลกไร้พรมแดน จนมาถึงยุคสมัยที่เชื้อชาติต่างหลอมรวมกันใหม่ด้วยเงื่อนไขของพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่กระจายผู้คนกลมกลืนมาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างข้ามสัญชาติ จะประกาศทำสงครามด้วยเพราะเขตแดนที่อยู่ระหว่างการตกลงกัน และมีเครื่องมือมากมากมายที่จะใช้พูดคุยกัน
แต่กลับประหลาดอย่างยิ่ง กลายเป็นกลุ่มผู้มีความรู้ และสมควรจะมีความคิดของ 2 ประเทศคือ “ไทย” และ “เขมร” กลับชักนำให้เกิดการปลุกระดมจนเกิดกระแสความคิดจะต้องใช้อาวุธไปรบราฆ่าฟันกัน
ซึ่งแม้ที่สุดจะออกมาจากอารมณ์งี่เง่าอย่างนั้นได้ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เป็นสภาวะที่ชวนให้ต้องไตร่ตรองว่าเกิดอะไรขึ้น
เรื่องนี้หากไล่เรียงให้ดีๆ จะพบว่าเริ่มจาก “ความไร้ศรัทธาต่อผู้นำ”
ความไม่เชื่อว่า “ผู้นำประเทศ” จะพาประเทศไปสู่ความถูกต้องดีงาม เปิดช่องให้ผู้หวังผลฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตรงกันข้าม อาศัยเป็นเครื่องมือสร้างความหวาดระแวงขึ้นมา โดยทำให้เห็นว่า “อำนาจที่ถูกครอบครองอยู่ไม่เอื้อให้ใช้ปัญญาในการจัดการปัญหา” ทำให้สัญชาตญาณการใช้กำลังถูกกระตุ้นให้แสดงออก
ทั้งประชาชน “กัมพูชา” และ “ไทย”
แต่ที่ “ไทย” ดูจะแรงกว่าเพราะ “สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง” อยู่ในจังหวะร้อนแรงกว่า การแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์เป็นไปอย่างเข้มข้นกว่า
ขณะที่แทบจะชัดเจนว่า “ผู้นำประเทศ” ดำรงสถานะ “ผู้ได้รับความศรัทธา และเชื่อมั่นจากฝ่ายต่างๆ ไม่ได้”
แม้จะไม่ใช่คำตอบที่ชัดนัก แต่ผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ล่าสุด เรื่อง “กล้าไหม ยึดมหาดไทยและเกษตร และกรณีปมชั้น 14”
อารมณ์ในการตอบของประชาชนสะท้อนถึงการขาดศรัทธาความกล้าหาญในการใช้อำนาจของ “ผู้นำประเทศ” ชัดเจน
ในคำถามถึงการส่งผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จากกรณีปมชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 29.62 ระบุว่า จะส่งผล, ร้อยละ 29.31 เห็นว่า ค่อนข้างส่งผล, ร้อยละ 24.58 ระบุว่า ไม่ส่งผลใด ๆ เลย, ร้อยละ 15.73 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผล, ร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
อารมณ์ในภาพรวมของผลโพลว่า ความเชื่อ หรือศรัทธาของประชาชนต่อผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในด้านต่างๆ เหลือน้อยอย่างยิ่ง
จนชวนให้เกิดคำถามว่า ความไม่เหลือศรัทธาเช่นนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อความหวังของประชาชนที่มีต่อประเทศ
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

