

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
เด็กที่ชินกับรสขม
VS
ผู้ใหญ่ที่สิ้นหวังกับการเปลี่ยนแปลง
ผมเลี้ยงลูกสาวตัวน้อยจนถึงช่วงเวลาที่เริ่มท้าทายมากขึ้น คือการที่ผมและภรรยาต้องจับนั่งบนโต๊ะอาหารและกินอาหารร่วมกัน
พ่อแม่ยุคใหม่น่าจะประสบปัญหาแบบเดียวกัน ด้วยการที่สังคมไทยมีลูกกันน้อยลง ความใส่ใจต่อเจ้าตัวน้อยและความละเอียดลออต่อการเลี้ยงลูกก็ย่อมมากขึ้น ตามข้อมูลข่าวสารที่มากขึ้นที่เรารับรู้ผ่านช่องทางต่างๆ
ดังที่กล่าวไว้ว่าเด็ก Gen-Alpha เป็นเด็กที่เลี้ยงยากที่สุด ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะเด็ก Gen-Alpha หรือเด็กอายุ 1-15 ปี ในปี 2025 เป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
อาจฟังดูเกินจริง แต่มนุษย์เองก็สามารถสะสมสติปัญญาต่างๆ เรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีต มนุษย์ก็น่าจะฉลาดขึ้นทุกปีๆ
ซึ่งอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะบางทีมนุษย์บางยุคอาจฉลาดในการประดิษฐ์เทคโนโลยี แต่กลับโง่ในความสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน
นำเทคโนโลยีมาเข่นฆ่า หรืออาจฉลาดในการสร้างสินค้าที่ล้นเหลือ แต่กลับผลิตความอดอยากท่ามกลางความมั่งคั่งมาแทนที่
มนุษย์ลองผิดลองถูกในประวัติศาสตร์พันปี
เอาเป็นว่า พอเข้าสู่ Gen-Alpha เราได้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในรอบหลายร้อยปีขึ้นมา ทั้งทางด้านโภชนาการตั้งแต่ท้องแม่ การเลี้ยงดู ความสัมพันธ์ ความเข้าใจธรรมชาติ และเทคโนโลยี
ซึ่งไม่แปลกหรอกที่กลุ่มเด็กฉลาดที่สุดในรอบหลายร้อยปี จะเลี้ยงยากมหัศจรรย์ เพราะพวกเขาฉลาดมากกว่าเรานั่นเอง
แต่ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ในขณะที่ป้อนข้าวลูกแสนยากเย็น ซึ่งสาเหตุมาจากที่เจ้าลูกสาวตัวน้อยของผมวัยขวบครึ่ง แพ้นมวัว และต้องดื่มนมสูตรแพ้นมวัวมาหลายเดือน ตั้งแต่ยังไม่ครบหนึ่งขวบ
นมสูตรสำหรับเด็กแพ้นมวัวนี้มีประโยชน์หลายอย่าง รวมถึงโปรตีนที่ย่อยแล้วเพื่อรักษาการแพ้นมวัวในอนาคตเมื่อโตขึ้น แต่รสชาติมันแย่มาก กว่าจะฝึกให้ลูกสาวตัวน้อยชินกับรสชาติที่ขมได้ก็หลายสัปดาห์
แต่ปัญหาก็ตามมาเมื่อถึงเวลาต้องขยับมากินอาหารแบบเต็มที่ และลดปริมาณนม ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าเจ้าตัวเล็กชินกับรสขมและไม่เปิดใจกับรสชาติหลากหลายของสรรพอาหารที่คุณแม่ทำให้เลย เนื่องด้วยติดกับรสขมของนมและทึกทักว่านี่คือรสชาติปกติของอาหาร
ซึ่งนักโภชนาการบอกว่าตรงนี้ใช้เวลาในการปรับตัวไม่นานนักก็แก้ไม่ยาก เพราะอย่างไรเสียโลกใบนี้ก็มีของอร่อยคอยหนูอยู่มากกว่านมสูตรเด็กแพ้นมวัว
ผมเกริ่นมาเสียนาน ปรากฏการณ์ลูกสาวตัวน้อยของผมกับความชินต่อรสขม ทำให้ผมคิดถึงบทสนทนากับมิตรสหายท่านหนึ่ง เป็นสหายที่ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมา ตอนนี้เราเริ่มห่างไกลจากการเป็นคนรุ่นใหม่แล้ว สีผมและรอยตีนกาของเราทั้งคู่ไม่เคยหลอกผู้พบเห็น
ผมชวนเขาคุยถึงความหวังของการเปลี่ยนแปลงในอนาคต จากเรื่องของประกันสังคม สวัสดิการ และการเลือกตั้งปี 2570 ที่จะมาถึง
ชวนคุยด้วยความหวังและความปรารถนาต่างๆ
แต่น่าแปลกสิ่งที่เขาตอบกลับคือความหม่นหมองและไม่เชื่อว่าความสำเร็จจะมาถึงโดยง่าย จะมีอุปสรรคต่างๆ อีกมากมายรออยู่
ผมมองตาเขาเข้าไปข้างใน เขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่กินรสขม ความพ่ายแพ้ ความเหนื่อยล้าในการต่อสู้
ทำให้เขาชินกับรสขมเหมือนกับที่ลูกสาวผมชินกับนมสูตรแพ้นมวัว
การเปลี่ยนแปลงจะมาถึง
พร้อมกับรสหวานเล็กๆ น้อยๆ
การเปลี่ยนแปลงจะมาถึง แม้ว่าจะไม่ใช่ในแบบที่เราคาดหวังเสมอไป
เช่นเดียวกับที่นักโภชนาการบอกผมว่า ลูกสาวตัวน้อยจะค่อยๆ ปรับตัวจากรสขมของนมสูตรไปสู่รสชาติที่หลากหลายของโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยของอร่อยมากมาย
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมก็เช่นกัน มันต้องใช้เวลา ต้องใช้ความอดทน
และที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่ยอมแพ้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น เราต้องเรียนรู้การฉลองรสหวานเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เหมือนกับการที่เราต้องให้ลูกได้ลิ้มรสอื่นๆ เพื่อให้เธอรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่รสขม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความสำเร็จเล็กๆ มากมายที่พิสูจน์ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้
เงินเด็กที่เพิ่มขึ้น การปรับปรุงสูตรบำนาญผู้ประกันตน การขยายประกันสังคมให้ครอบคลุมคนทำงานหลากหลายกลุ่ม การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐที่โปร่งใสมากขึ้น
เหล่านี้คือรสหวานที่เราต้องฉลอง เพื่อให้ทั้งตัวเราเองและคนรอบข้างได้รู้ว่า โลกไม่ได้ขมขื่นเสียทีเดียว
มิตรสหายของผมที่ชินกับรสขมของความพ่ายแพ้ เขาไม่ได้ผิด ประสบการณ์ทำให้เขาระมัดระวัง
แต่ความระมัดระวังนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาหยุดเชื่อ
เขาแค่เรียนรู้ที่จะจัดการกับความหวังอย่างชาญฉลาด ไม่ให้มันทำลายตัวเองเมื่อสิ่งที่คาดหวังไม่เป็นจริง
บางทีสิ่งที่เขาต้องการคือการได้ลิ้มรสหวานเล็กๆ เหล่านี้อีกครั้ง การได้เห็นว่าการต่อสู้ในอดีตไม่ได้สูญเปล่า
เงินเด็กที่เพิ่มขึ้นจาก 800 เป็น 1,000 บาท อาจดูเล็กน้อย แต่สำหรับครอบครัวยากจนแล้วมันคือความหวาน
การที่ประกันสังคมขยายสิทธิประโยชน์ให้คนทำงานนอกระบบมากขึ้น
การที่ข้อมูลงบประมาณและการจัดซื้อภาครัฐเปิดเผยได้มากขึ้น
เหล่านี้คือหลักฐานว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ แม้จะช้า แม้จะเป็นทีละเล็กทีละน้อย
เราต้องเรียนรู้การฉลองความสำเร็จเล็กๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อหยุดนิ่ง แต่เพื่อสร้างพลังงานในการต่อสู้ต่อไป
เหมือนกับที่เราให้ลูกได้ลิ้มรสหวานของผลไม้ เพื่อให้เธอรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่รสขม และยังมีสิ่งดีๆ รออยู่
Gen-Alpha ที่ผมเล่าถึง พวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขาที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ จะไม่ยอมรับรสขมของความไม่ยุติธรรมเหมือนที่คนรุ่นเราชิน พวกเขาจะเรียกร้องรสชาติที่ดีกว่า ระบบที่ดีกว่า สังคมที่ดีกว่า
และในวันหนึ่ง เมื่อลูกสาวตัวน้อยของผมเริ่มลิ้มรสของผลไม้หวาน ของข้าวต้มที่คุณแม่ปรุงด้วยความรัก ของโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้
เธอจะลืมรสขมของนมสูตรแพ้นมวัวไปเอง และเริ่มเชื่อว่าโลกนี้มีสิ่งดีๆ รออยู่มากมาย
การเปลี่ยนแปลงจะมาถึง ไม่ใช่เพราะเราหวัง แต่เพราะเราพิสูจน์ด้วยความสำเร็จเล็กๆ ที่สะสมขึ้นเรื่อยๆ
รสขมไม่เคยอยู่กับใครตลอดไป
เช่นเดียวกับที่ความมืดไม่เคยครอบงำแสงสว่างได้นานเนิ่น
และเมื่อเราฉลองรสหวานเล็กๆ เหล่านี้ เราก็จะมีกำลังใจที่จะสร้างรสหวานที่ใหญ่กว่า และหวานกว่าต่อไป
ผมเชื่อว่า ในปี 2570 ที่จะมาถึง เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ไม่ใช่เพราะเราใฝ่ฝันไปเอง แต่เพราะเด็กๆ อย่างลูกสาวผมจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมชินกับรสขมของความไม่ยุติธรรม
พวกเขาจะเป็นคนที่เปลี่ยนโลกใบนี้ให้มีรสชาติที่ดีกว่า หวานกว่า
และเต็มไปด้วยความหวังมากกว่านี้