
คดี 12 ล้านทิ้งขยะคอนโดฯ ทำสะเทือนถึง ‘กสทช.’ ‘ทวีวัฒน์’ อ้างเก็บจนลืม สังคมจับตาผลสอบที่มา

อาชญากรรม | อาชญา ข่าวสด
คดี 12 ล้านทิ้งขยะคอนโดฯ
ทำสะเทือนถึง ‘กสทช.’
‘ทวีวัฒน์’ อ้างเก็บจนลืม
สังคมจับตาผลสอบที่มา
ข่าวการพบเงินสด 12 ล้าน ในกล่องพลาสติก ถูกนำมาทิ้งบริเวณจุดทิ้งขยะบนแฟลตเมืองทองธานี ทำให้นึกย้อนไปถึงกรณีของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ถูกแก๊งโจรบุกปล้นบ้านในค่ำวันแต่งงานของลูกสาว เมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 หอบเงินสดๆ ไปเกือบ 200 ล้านบาท
ขณะที่นายสุพจน์ก็ออกมาให้การว่า เงินที่คนร้ายได้ไปเป็นเงินสินสอด เป็นเงินเตรียมจัดงานแต่งลูกสาวราว 5 ล้านบาท
แต่เมื่อตำรวจตามจับกุมแก๊งคนร้ายมาได้ กับสามารถยึดเงินสดคืนมาได้เกือบ 18 ล้านบาท ประกอบกับคำกล่าวอ้างของคนร้ายที่ว่า “นายสั่งให้มายึดเงินคืน” โดยพบเงินสดเป็นปึกๆ คาดว่าเกือบพันล้านบาทอยู่ในบ้านแต่ไม่สามารถขนไปได้ทั้งหมด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวนายสุพจน์ถูก ป.ป.ช.ดำเนินคดี ฐานแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ถูกตัดสินจำคุก 10 เดือน พร้อมยึดทรัพย์ส่วนที่ไม่สามารถแจ้งที่มาได้ จำนวน 64 ล้านบาท
แม้กรณีของเงิน 12 ล้าน เจ้าของเงินจะไม่ใช่ข้าราชการ แต่ก็เป็นอนุกรรมการหลายคณะของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลการจัดสรรคลื่นความถี่ ที่เป็นผลประโยชน์มหาศาลของชาติ
ย้อนไปเมื่อค่ำวันที่ 5 มิถุนายน 2568 มีผู้พบเงินสด 12 ล้านถูกมัดเป็นปึกๆ วางทิ้งไว้ในลังพลาสติก พร้อมเสื้อผ้าปิดทับ บริเวณชั้น 4 คอนโดฯ เมืองทองธานี ตึก P2 ชั้น4 โซน C ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่กล่องกระดาษใกล้ๆ กันพบเอกสารใบกำกับภาษี ระบุถึงหน่วยงาน กสทช. และมีชื่อ นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว อยู่บนเอกสาร
หญิงสาวที่เป็นผู้พบเงินสดดังกล่าวให้การกับตำรวจ สภ.ปากเกร็ด ว่าขณะกลับมาจากที่ทำงานเห็นกล่องพลาสติกสีเทาวางอยู่ตรงกองขยะ อยู่ในสภาพดี จึงต้องการที่จะนำมาใช้ต่อ แต่เมื่อเปิดฝากล่องและต้องการจะรื้อของออกมา ก็เจอกองผ้าวางขยุมๆ ก่อนพบเงินจำนวนดังกล่าว ตอนนั้นตกใจ ขนลุก ทำตัวไม่ถูก ไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากแบบนี้มาวางกองทิ้งเอาไว้ เลยรีบโทร.ตามเพื่อนอีก 2 คนมาช่วยถ่ายวิดีโอไว้
แล้วก็แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ

หลังตำรวจนำเงินมาตรวจสอบที่โรงพักปากเกร็ด พบข้อมูลเบาะแสที่สายรัดของธนาคารกสิกรไทย สาขาแจ้งวัฒนะ ซึ่งระบุวันเบิกเงินอยู่ช่วงปี 2563 ขณะเดียวกันชุดสืบสวนก็ไล่เช็กภาพจากกล้องวงจรปิดของคอนโดฯ แต่โชคไม่ดีที่จุดดังกล่าวเป็นมุมอับของกล้องวงจรปิด จึงไม่เห็นว่าใครเป็นผู้นำกล่องเงินมาวาง
วันรุ่งขึ้น นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว เดินทางมาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของเงินสด 12 ล้านดังกล่าว พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภาค 1 พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ร่วมกันสอบปากคำ เจ้าตัวอ้างว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่สะสมมาจากการทำงานทนายความ
พร้อมนำหลักฐานมาแสดงกับตำรวจ ว่าเงินดังกล่าวมีที่มาจาก 4 บริษัท ที่จ่ายให้ระหว่างปี 2562-2564 โดยทยอยเบิกมาใส่ลังเสื้อผ้าเก็บไว้นานหลายปีแล้ว ต่อมาภายในห้องพักเกิดน้ำรั่ว จึงได้เก็บข้าวของที่เปียกน้ำมาทิ้ง รวมทั้งกล่องดังกล่าวที่ลืมไปแล้วว่าใส่เงินเอาไว้ คิดว่าเป็นเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้วและเปียกน้ำ จึงได้หอบจากห้องพักชั้นห้าลงมาทิ้งที่ชั้นสี่
เมื่อได้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไปตรวจสอบที่ห้องของนายทวีวัฒน์ พร้อมกับประสานธนาคารที่ปรากฏชื่อตามสายรัด
ขณะที่ทาง กสทช. ให้ข้อมูลว่า นายทวีวัฒน์ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ กสทช. แต่เป็นปรึกษาของกรรมการ กสทช. ท่านหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นคณะอนุกรรมการอีกหลายชุดใน กสทช. โดยเอกสารที่พบเป็นหนังสือรับรองการหักภาษีค่าเบี้ยประชุม ไม่เกี่ยวกับเงิน 12 ล้านบาทที่พบ
นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล รองเลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาข้อมูลการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของข้าราชการท่านหนึ่งระดับ ผอ.สำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นภรรยาของนายทวีวัฒน์ โดยเมื่อต้นปี 2563 ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งครบ 3 ปี ครั้งที่ 1 วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 และเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งครบ 3 ปี ครั้งที่ 2 วันที่ 22 กรกฎาคม 2567
ไม่ปรากฏรายการเงินสด 12 ล้านบาทของคู่สมรส แสดงไว้ในรายการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทั้ง 2 ครั้ง คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้ตรวจสอบเชิงลึก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่ามีพฤติการณ์จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่

ขณะเดียวกันที่กรมสรรพากร น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. และ น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน เข้ายื่นหนังสือต่อกรมสรรพากร เพื่อขอให้ตรวจสอบที่มารายได้ และเส้นทางการเงิน 12 ล้านบาท ของนายทวีวัฒน์ โดยให้เหตุผลว่า นายทวีวัฒน์ไม่ใช่บุคคลธรรมดาที่พบเงินแล้วก็จบไป
แต่เพราะนายทวีวัฒน์เป็นที่ปรึกษา กสทช. และนั่งอยู่ในอนุกรรมการ กสทช. เมื่อไปดูในรายละเอียดอนุกรรมการ 5 คณะที่นายทวีวัฒน์นั่งอยู่ ล้วนเกี่ยวข้องกับเงิน และผลประโยชน์ของชาติจำนวนมาก
ที่ผ่านมานายทวีวัฒน์ยังอยู่ในอนุกรรมการควบรวมกิจการค่ายมือถือด้วย นอกจากสังคมจะจับตาแล้ว กรมสรรพากร และ ป.ป.ช. ต้องเข้ามาช่วยกันตรวจสอบ
ขณะที่ น.ส.รักชนกกล่าวว่า เข้าใจว่า ป.ป.ช.ดำเนินการแล้ว แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า เรา 3 คนจะติดตามเรื่องนี้อย่างกัดไม่ปล่อยแน่นอน จึงมายื่นที่กรมสรรพากร เพราะนายทวีวัฒน์ยื่นรายได้ต่อสรรพากรปีละแค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น เงิน 12 ล้านบาทจึงเป็นประเด็นใหญ่ เส้นทางการเงินมาอย่างไร ได้มาจากอาชีพทนายจริงหรือไม่ สรรพากรต้องเข้ามามีบทบาทตรวจสอบเรื่องนี้
ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภาค 1 เปิดเผยผลการตรวจสอบเรื่องเงิน 12 ล้านว่า จากการสอบปากคำนายทวีวัฒน์ ที่นำส่งหลักฐานคลิปวิดีโอจากนิติบุคคล ที่เห็นกล่องลังว่าอยู่ในห้อง และมีน้ำรั่วซึมจริงตามคำให้การ เบื้องต้นตำรวจเชื่อว่าเงินเป็นของนายทวีวัฒน์จริง
แต่ยังต้องตรวจสอบว่าเงินถูกถอนมาจากบัญชีของใคร วันที่ไปถอนนั้น นายทวีวัฒน์ไปเอง หรือใครไปถอน รวมถึงเงินมาอยู่ในห้องได้อย่างไร เงินถูกถอนออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคม 2563 แต่ไม่ได้ถอนออกมาครั้งเดียว จึงต้องตรวจสอบประเด็นนี้เพิ่มเติม

ผบช.ภาค 1 ระบุอีกว่าหลักฐานเส้นทางการเงินที่นายทวีวัฒน์นำมายื่น ยังไม่สอดคล้องกับรายได้ 12 ล้านบาทที่เบิกออกมา “ส่วนตัวมองว่าการถอนเงินเอกมาแล้วใส่ไว้ในห้องเฉยๆ ผิดวิสัยคนปกติ หากเป็นผมจะนำไปไว้ธนาคาร เพราะยังได้ดอกเบี้ย แต่ก็เป็นสิทธิของเจ้าของเงินที่จะเอาไปไว้ไหนก็ได้ ตำรวจขอเวลาสอบสวนเพิ่มเติม และส่วนตัวมองว่าคงไม่เป็นการจัดฉาก ดังนั้น จะเรียกภรรยานายทวีวัฒน์มาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง” ผบช.ภาค 1 กล่าว
ส่วนที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ น.ส.อรณิช สุขบาล ผอ.กองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 2 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าร่วมประชุมติดตามที่มาเงิน 12 ล้านบาท
ก่อนมีมติเสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ เพื่อให้มีมติตรวจสอบในทางลับ เรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินของภรรยานายทวีวัฒน์ ที่มีตำแหน่งเป็น ผอ.ในหน่วยงาน ป.ป.ช. ซึ่งตามปกติต้องยื่นแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ทั้งของตัวเอง คู่สมรส และครอบครัวทุก 3 ปี ว่ามีส่วนของเงิน 12 ล้านอยู่ด้วยหรือไม่
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการ ป.ป.ท. นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ป.ป.ช. ประชุมหารือร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนชุดคลี่คลายคดี ร่วมประชุมแบ่งหน้าที่กันเพื่อสืบสวนหาที่มาของเงิน 12 ล้านดังกล่าวว่าจะเป็นจริงตามที่นายทวีวัฒน์ให้การไว้หรือไม่ พร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าทุกสัปดาห์
ส่วนคำถามที่ว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินที่เตรียมไหลออกหรือรับเข้ามา ปปง.จะเป็นผู้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน รวมถึงตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมด ว่ามีจุดน่าสงสัยหรือเชื่อมโยงไปถึงบุคคลอื่นหรือไม่
เพราะตำแหน่งหน้าที่การงานของนายทวีวัฒน์ เกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลของชาติ การตรวจสอบที่เข้มข้น จริงจัง จึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนผลจะออกมาเช่นไร เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูกันต่อไป


เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

