

บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์
ปรีดี แปลก อดุล
: คุณธรรมน้ำมิตร (71)
พญาอินทรี
หลังจากได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในการรับรองรัฐบาลเบาได๋แห่งเวียดนามใต้เมื่อต้นปี พ.ศ.2492 อันเป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองระหว่างประเทศ เลือกข้างฝ่ายเสรีนิยมแล้ว การช่วยเหลือทางด้านการทหารจากสหรัฐอเมริกาในรูปแบบต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้าไทยทันที
องค์การสืบราชการลับซีไอเอสนับสนุนการจัดตั้งกองกำลังกึ่งทหาร ได้แก่ กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจพลร่ม เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ตามแนวพรมแดนที่ติดกับเพื่อนบ้าน เน้นพื้นที่ภาคอีสานตามสมมุติฐานว่าจีนจะส่งกำลังรุกรานผ่านเวียดนามและลาว
ในทางกลับกัน รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ให้ความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการส่งทหารไทยไปร่วมสงครามเกาหลีเมื่อปลายปี พ.ศ.2493 และการปราบปรามผู้มีพฤติกรรมสนับสนุนคอมมิวนิสต์ในประเทศอย่างเต็มที่
แต่แผนยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศไทยมิได้มีเพียงมิติทางด้านการทหารเท่านั้น
ต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2496 สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้ “แผนสงครามจิตวิทยาสำหรับประเทศไทย” โดยมีการจัดทำโครงการศึกษาลักษณะทางสังคมไทยอย่างเป็นระบบเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเพื่อการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในไทย
สหรัฐอเมริกาใช้ข้ออ้างความร่วมมือทางด้านวิชาการส่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลเข้ามาทำวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติและความเชื่อของชุมชนเกษตรกรบางชัน มีนบุรี เป็นลำดับแรก จากนั้นก็ทำโครงการสำรวจทัศนคติของคนไทยเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์โดยมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ภูมิภาคและเขตชายแดน โดยร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกระทรวงวัฒนธรรมไทย
ต่อมาสหรัฐอเมริกายังได้เสนอให้รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จัดตั้งคณะกรรมการเป็นการเฉพาะขึ้นทำหน้าที่พัฒนา “สงครามจิตวิทยา” ร่วมกับสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในไทยผ่านหนังสือพิมพ์ วิทยุ และการอบรมความรู้โดยกำหนดให้วัด มหาวิทยาลัย กลุ่มเยาวชน กลุ่มวัฒนธรรม ข้าราชการและกองทัพเป็นกลุ่มเป้าหมายร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านและหาข่าวเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์
พ.ศ.2497 เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในศึกเดียนเบียนฟูและถอนตัวอย่างถาวรจากอินโดจีน สหรัฐอเมริกาก็ยกระดับความสำคัญในการใช้ไทยเป็นฐานต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก โดยผลักดันให้จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ซีอาโต้” (South East Asia Treaty Organization : SEATO) เพื่อสร้างความมั่นใจในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค ซึ่งได้รับความร่วมมือจากรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
องค์การนี้มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ
ยูซิส
ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถกำหนดแผนสงครามจิตวิทยาในไทยได้แล้วก็เริ่มปฏิบัติการตามแผนอย่างเป็นขั้นตอน
หนึ่งในโครงการต่อต้านคอมมิวนิสต์ดำเนินการผ่าน “ยูซิส” หรือ “สำนักข่าวอเมริกัน (United State Information Services : USIS)” หน่วยงานเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาอันเป็นกลไกสำคัญในปฏิบัติการทางจิตวิทยา
เครือข่ายปฏิบัติการของยูซิสพร้อมกับหน่วยโฆษณาชวนเชื่อย่อยๆ จะเดินทางเข้าไปในเขตชนบทลึกถึงระดับหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน มีผู้เชี่ยวชาญในสงครามจิตวิทยาออกเดินทางไปแจกโปสเตอร์ และสมุดคู่มือการต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในเวลากลางวัน และฉายภาพยนตร์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในตอนกลางคืน โดยได้แนวความคิดหลักจาก “หนังขายยา” มหรสพหลักอันเป็นที่นิยมของชนบทในยุคนั้น
แต่จุดประสงค์ครั้งนี้เป็นการขายความคิด สร้างความเชื่อ ที่ต้องการแผยแพร่คือเกลียดชังและต่อต้านคอมมิวนิสต์
กลุ่มรอยัลลิสต์
แม้การเข้ามามีบทบาทของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยจะเกิดขึ้นจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นหลัก แต่กลุ่มรอยัลลิสต์ก็อาศัยความเจนจัดทางการเมืองแสวงประโยชน์โดยเฉพาะจากการดำเนินการด้านสงครามจิตวิทยาของสหรัฐอเมริกาอย่างได้ผล
จากบทบาทของกลุ่มรอยัลลิสต์ที่อยู่เหนือคณะรัฐประหารเมื่อเริ่มแรกเข้าบริหารประเทศจนกระทั่งถูกลดบทบาทลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม รัฐประหารทางวิทยุเมื่อปลาย พ.ศ.2494 แต่กลุ่มรอยัลลิสต์ก็ยังคงไม่ลดละความมุ่งหมายในการต่อสู้ตามอุดมการณ์และแสวงหาช่องทางใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จนสบโอกาสสำคัญเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นตามลำดับในสังคมไทย
รูปธรรมหนึ่งที่ชี้ให้เห็นความพยายามที่ไม่ลดละของกลุ่มรอยัลลิสต์คือ นวนิยาย “สี่แผ่นดิน” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งมีเนื้อหาอิงประวัติศาสตร์ไทยในช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 8 โดยแรกเริ่มถูกเขียนเป็นตอนๆ ลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ขณะฝ่ายอนุรักษ์ถูกลดบทบาทระหว่างปี 2494-2495 ติดต่อกันเป็นเวลาปีเศษ
ต่อมาได้รวบรวมพิมพ์เป็นเล่มขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2496 นวนิยายมุ่งสร้างภาพถวิลหาอดีตและสังคมที่เสื่อมลงหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475 ซึ่งมีอิทธิพลในการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกแก่สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องยาวนานแม้ปัจจุบัน ขณะที่ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ วิจารณ์ว่าเป็น “นวนิยายล้างสมอง”
นอกจากนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นรอยัลลิสต์ ยังมีบทบาทสำคัญในการกล่าวหาโจมตี นายปรีดี พนมยงค์ มาโดยตลอด ดังปรากฏหลักฐานภายหลังดังนี้
1. เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2510 นายปรีดี พนมยงค์ โดยนายวิชา กันตามระ ผู้รับมอบอํานาจ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง หมายเลขดําที่ 1596/2510 คดีหมายเลขแดงที่ 5651/2510 โดยฟ้องบริษัท สยามรัฐ จํากัด จําเลยที่ 1 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จําเลยที่ 2 นายประจวบ ทองอุไร จําเลยที่ 3 นายประหยัด ศ.นาคะนาท จําเลยที่ 4 ข้อหาหรือฐานความผิดหมิ่นประมาททําให้เสียหายในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เกี่ยวกับกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ผลทางคดี ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคําพิพากษาชั้นต้น ให้จําเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 แพ้คดีต้องรับผิดตามฟ้องของโจทก์
2. เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2513 นายปรีดี พนมยงค์ โดยนายวิชา กันตามระ ผู้รับมอบอํานาจ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง หมายเลขดําที่ 7236/2513 คดีหมายเลขแดงที่ 2005/2513 ฟ้องบริษัท สยามรัฐ จํากัด จําเลยที่ 1 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จําเลยที่ 2 นายสําเนียง ขันธะชวนะ จําเลยที่ 3 นายประจวบ ทองอุไร จําเลยที่ 4 นายประหยัด ศ.นาคะนาท จําเลยที่ 5 ข้อหาหรือฐานความผิดละเมิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและหมิ่นประมาท โดยใส่ความทําให้โจทก์เสียหาย
ผลทางคดี จําเลยทุกคนยอมประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์ แถลงความจริงว่า นายปรีดี พนมยงค์ ไม่เคยเป็นจําเลยในคดีสวรรคตเลย และไม่เคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทําความผิด เมื่อโจทก์ไม่เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษ จึงถือว่าโจทก์ยังบริสุทธิ์ ส่วนการที่โจทก์หลบหนีออกจากประเทศนั้น เป็นการหลบหนีการรัฐประหาร จึงขอให้ผู้อ่านทราบความจริง และขออภัยในความคลาดเคลื่อนนี้ด้วย
การเข้ามาของ “WILD BILL”
พ.ศ.2496 สหรัฐอเมริกาได้ส่ง วิลเลียม เจ. โดโนแวน “WILD BILL” อดีตหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการลับโอเอสเอสซึ่งรับผิดชอบพื้นที่จีนและเอเชียใต้เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 มาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตคนใหม่ประจำประเทศไทย
โดโนแวนมีความคุ้นเคยกับสถานการณ์ในจีนและการเมืองไทยเป็นอย่างดีเนื่องจากเคยร่วมปฏิบัติการกับเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดโนแวนเองก็มีส่วนสำคัญยิ่งในการร่างแผนสงครามจิตวิทยาที่จะใช้ดำเนินการเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในไทยเป็นการเฉพาะด้วย
เมื่อเข้ารับหน้าที่ในไทย โดโนแวนสามารถสร้างความใกล้ชิดและได้รับความไว้วางพระทัยจากพระมหากษัตริย์ไทยเป็นอย่างยิ่ง ได้รับโอกาสให้เข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์หลายครั้งตลอดช่วงเวลา 1 ปีที่ดำรงตำแหน่งนี้ โดโนแวนได้บันทึกการเข้าเฝ้าฯ ครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคม พ.ศ.2496 ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งว่า รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่อนุญาตให้พระองค์มีบทบาททางการเมืองตามที่มีพระราชประสงค์ และเมื่อโดโนแวนได้เล่าถึงความช่วยเหลือบทบาทการสนับสนุนทางการทหารแก่ไทยและการต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้พระองค์ทราบ พระองค์ทรงให้ความสนพระทัยในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก
จากการศึกษาสภาพแวดล้อมทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทยอย่างลึกซึ้งและรอบด้านจนสามารถกำหนดแผนสงครามจิตวิทยาในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในไทยได้อย่างชัดเจน โดโนแวนได้ประเมินสถานการณ์ในไทยอย่างรอบด้านแล้วเสนอแนวความคิดให้สหรัฐอเมริกาใช้การคุกคามสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นสำคัญของการปฏิบัติการสงครามจิตวิทยาในไทย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา
โดโนแวนยังได้เสนอความคิดโดยตรงต่อประธานาธิบดีไฮเซนฮาวว่า สถาบันกษัตริย์ของไทยคือจุดชี้ขาดที่จะทำให้สหรัฐอเมริกาบรรลุแผนสงครามจิตวิทยาในการทำให้คนไทยเกลียดชังและต่อต้านคอมมิวนิสต์ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบเช่นกัน และได้สั่งการให้ประสานแผนดำเนินการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจนนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ในการทำสงครามจิตวิทยาผ่านสื่อต่างๆ ในสังคมไทยเพื่อสร้างความมุ่งมั่นให้คนไทยร่วมกับสหรัฐอเมริกาต่อต้านคอมมิวนิสต์
แนวความคิดในการผลักดันให้สถาบันกษัตริย์เป็นแกนกลางในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในไทย มีความสอดคล้องกับนโยบายในภาพรวมของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากขณะนั้นกรรมาธิการพิเศษว่าด้วยการคุกคามของคอมมิวนิสต์ กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้จัดตั้งชุดปฏิบัติการทางการเมืองและการทหารขึ้นเพื่อดำเนินการสร้างภาพให้คอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ความหวาดกลัวและหวั่นวิตกในหมู่ประชาชนไทย
การที่สหรัฐอเมริกาชื่นชมและให้ความสำคัญกับการร่วมต่อต้านคอมมิวนิสต์ของสถาบันกษัตริย์ มากยิ่งขึ้นตามลำดับได้สร้างความหวั่นวิตกแก่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเริ่มตระะหนักถึงอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มครอบงำประเทศไทยมากยิ่งขึ้นตามลำดับ
จอมพล ป.พิบูลสงคราม เริ่มถอยห่างจากสหรัฐอเมริกาโดยเริ่มต้นด้วยการแสดงท่าทีระดับนโยบายต่างประเทศที่ไม่ปฏิเสธแนวความคิดเป็นกลางในความขัดแย้งระหว่างฝ่ายโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ ส่วนการเมืองในประเทศ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็พยายามแสดงท่าทีเปิดกว้างสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันทางการเมืองอย่างเสรีเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในต้นปี 2500 นอกจากนั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยังหันไปประนีประนอมกับกลุ่มการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนายปรีดี พนมยงค์ และกลุ่มฝ่ายซ้ายในสังคมไทยเพื่อชัยชนะในการเลือกตั้ง
บันทึกของรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ วอชิงตัน ถึงสถานทูตสหรัฐอเมริกาในกรุงเทพฯ เมื่อปลายปี พ.ศ.2499 ได้แสดงความกังวลถึงความย่อหย่อนของรัฐบาลไทยในการต่อต้านคอมมิวนิสต์
(ขอบคุณข้อมูลจาก “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” ของ ณัฐพล จริงใจ)