

บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์
ปรีดี แปลก อดุล
: คุณธรรมน้ำมิตร (72)
ทางเลือกใหม่ของกลุ่มรอยัลลิสต์
การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อสถาบันกษัตริย์จะกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้ขาดชัยชนะของการต่อสู้ทางการเมืองภายในประเทศระหว่างสถาบันกษัตริย์และกลุ่มรอยัลลิสต์กับรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ภายใต้ระเบียบโลกใหม่ยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาซึ่งเข้ามามีอิทธิพลต่อการเมืองไทยแม้จะเป็นพันธมิตรของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่ก็มีส่วนอย่างมากในการสนับสนุนให้สถาบันกษัตริย์ฟื้นคืนความสำคัญทางการเมือง ขณะที่กลุ่มรอยัลลิสต์ต้องการแสวงหาวิธีการต่อสู้ทางการเมืองใหม่หลังจากตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำตั้งแต่หลังการรัฐประหารเงียบของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ.2494 สหรัฐอเมริกาจึงเป็นทางเลือกใหม่ในการต่อสู้
ในชั้นต้น สหรัฐอเมริกาตระหนักดีถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างฝ่ายจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับกลุ่มรอยัลลิสต์ จึงกำหนดท่าทีต่อทั้ง 2 ฝ่ายนี้อย่างระมัดระวังไม่เอนเอียงต่อฝ่ายใดโดยยึดถือประโยชน์สูงสุดในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เป็นที่ตั้ง
เมื่อเทียบกับฝ่ายรัฐบาล กลุ่มรอยัลลิสต์นั้น นอกจากจะเหนือกว่าในเกมการเมืองในประเทศแล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านการเมืองระหว่างประเทศเหนือกว่าอีกด้วย
แกนนำสำคัญหลายคนในกลุ่มรอยัลลิสต์ล้วนเคยมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย ไม่ว่าพระยาศรีวิสารวาจา อดีตปลัดทูลฉลองและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน และผู้ก่อตั้งเสรีไทยสายอเมริกา เป็นต้น
บุคคลเหล่านี้ล้วนมีส่วนในฐานะผู้เชื่อมต่อและพยายามสร้างความสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างสถาบันกษัตริย์กับสหรัฐอเมริกา และทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มเล็งเห็นถึงศักยภาพของสถาบันกษัตริย์ว่าจะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการทำสงครามจิตวิทยาต่อต้านคอมมิวนิสต์
ขณะเดียวกัน จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งยังคงขาดฐานอำนาจทางการทหารและการเมืองที่เป็นจริง รวมทั้งท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์โดยมีแรงสนับสนุนจากกลุ่มรอยัลลิสต์ที่เป็นคู่ต่อสู้กันมาตั้งแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงหาทางออกเปิดเกมใหม่แสวงหาฐานอำนาจทางการเมืองจากประชาชนส่วนใหญ่ด้วยการเปิดกว้างทางสังคมตามแนวทางประชาธิปไตย หลังกลับจากการดูงานรอบโลกเมื่อ พ.ศ.2498 รวมทั้งหาทางออกด้วยนโยบายต่างประเทศที่เป็นกลางซึ่งจะทำให้หลุดพ้นจากอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มครอบคลุมทุกมิติของการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของไทยมากยิ่งขึ้นทุกขณะจากผลของปฏิบัติการสงครามจิตวิทยาในไทยอย่างได้ผล
จอมพล ป.พิบูลสงคราม มองไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
ไทย-จีน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงใน พ.ศ.2488 สาธารณรัฐจีนยังคงอยู่ภายใต้การนำของเจียงไคเช็ก รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐจีนได้มีการเจรจาเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เพราะไทยต้องการสมัครเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ซึ่งสาธารณรัฐจีนเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง และอาจใช้สิทธิยับยั้งการเข้าเป็นสมาชิกของไทยได้
รัฐบาลไทยและจีนได้ลงนามใน “สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐจีน” (Treaty of Amity between The Kingdom of Siam and The Republic of China) สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2489 แม้ต่อมาเมื่อรัฐบาลสาธารณรัฐจีนพ่ายแพ้แก่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและต้องอพยพรัฐบาลไปตั้งที่ไต้หวันใน พ.ศ.2492 รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม
และสมัยต่อๆ มาก็ยังคงให้การรับรองและมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลสาธารณรัฐจีนที่อพยพไปไต้หวันโดยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐอเมริกาต่อไปจนถึง พ.ศ. 2517
ในส่วนของจีนแผ่นดินใหญ่ นับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุงได้ปกครองแผ่นดินใหญ่จีนและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2492 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งนำไทยเข้าร่วมกับฝ่ายโลกเสรีที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำก็มองสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยความหวาดระแวงและหวั่นเกรงว่าจะเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาในประเทศไทย
อีกทั้งท่าทีและนโยบายของจีนต่อชาวจีนโพ้นทะเล ทำให้รัฐบาลไทยวิตกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะใช้คนจีนในไทยเป็นเครื่องมือแทรกแซงกิจการภายใน ยิ่งเมื่อจีนยึดครองทิเบตและสนับสนุนเกาหลีเหนือทำสงครามในคาบสมุทรเกาหลีใน พ.ศ.2493 และประกาศจัดตั้งเขตปกครองตนเองไท (Tai Autonomous Area) ทางตอนใต้ของมณฑลยูนนานใน พ.ศ.2496 ยิ่งทำให้ไทยมองจีนว่าต้องการขยายอิทธิพลสู่ไทยอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะการที่สาธารณรัฐประชาชนจีนยอมให้อดีตผู้นำไทย นายปรีดี พนมยงค์ ลี้ภัยทางการเมืองในจีน ทำให้ปรากฏข่าวว่า นายปรีดี พนมยงค์ จะใช้ยูนนานเป็นฐานในการเข้ายึดครองประเทศไทย
ดังนั้น นโยบายหลักของรัฐบาลไทยในสมัยนายกรัฐมนตรีจอมพล ป.พิบูลสงคราม นับแต่ พ.ศ.2492 เป็นต้นมา ก็คือ เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน ดังจะเห็นได้จากที่ไทยเข้าเป็นสมาชิก “องค์การสนธิสัญญาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ ส.ป.อ. (ซีโต้ – SEATO) ใน พ.ศ.2497 เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ที่เดียนเบียนฟูและถอนตัวจากอินโดจีนซึ่งเป็นองค์การป้องกันร่วมกันในระดับภูมิภาคที่สหรัฐอเมริกาจัดตั้งขึ้น เพื่อสกัดกั้นและขัดขวางการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์จากสาธารณรัฐประชาชนจีนและเวียดนามเหนือโดยตรง
ในขณะเดียวกันสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงต้นก็ดำเนินนโยบายต่างประเทศหันไปพึ่งพิงสหภาพโซเวียตอย่างเต็มที่โดยหวังจะอาศัยความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทางทหารจากสหภาพโซเวียตในการต่อต้านสหรัฐอเมริกาที่กำลังแผ่อิทธิพลครอบงำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของจีน จีนให้การสนับสนุนแก่ขบวนการเวียดมินห์ของโฮจิมินห์ซึ่งกำลังต่อสู้กับฝรั่งเศสเพื่อเอกราช และเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้มีนโยบายเป็นกลางไม่ฝักฝ่ายใด ซึ่งเท่ากับไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อจีนสวนทางกับความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้ทุกประเทศเห็นจีนเป็นศัตรู
เมษายน พ.ศ.2498 ขณะที่การต่อสู้ระหว่างจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับฝ่ายรอยัลลิสต์ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้นตามลำดับ จีนได้เข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศเอเชียและแอฟริกาที่มีนโยบายเป็นกลางที่บันดุง อินโดนีเซีย ซึ่งสหรัฐอเมริกามองว่าเป็นมาตรการรุกทางการเมืองของจีน ขณะที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่งตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย
นายโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีโอกาสพบปะสนทนาและแสดงท่าทีเป็นมิตรกับกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รัฐมนตรีต่างประเทศไทยซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย นอกจากนั้น ยังได้เสนอหลักปัญจศีลหรือหลัก 5 ประการของการอยู่ร่วมกันโดยสันติ (Peaceful Coexistence) ต่อที่ประชุมใหญ่ อีกทั้งได้ชี้แจงอย่างหนักแน่นและจริงใจต่อผู้แทนไทยว่า จีนมิได้มีความประสงค์จะคุกคามไทยแต่อย่างใด
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงบันทึกว่า ได้เคยทำงานร่วมกับโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน 2 ครั้ง คือ ในการประชุมเรื่องเกาหลีที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ พ.ศ.2497 และครั้งที่ 2 ในการประชุมเอเชีย-แอฟริกาที่บันดุง อินโดนีเชีย ในระหว่างวันที่ 18-24 เมษายน พ.ศ.2498 “โจวเอินไหลแสดงอัธยาศัยอันดีแก่ข้าพเจ้า เชิญไปรับประทานอาหารค่ำ รุ่งเช้าส่งของขวัญมาให้ภริยาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีหีบบุหรี่ถม จึงส่งไปให้ตอบแทน” ผู้นำของไทยและจีนต่างมีความประทับใจซึ่งกันและกัน
การพบปะระหว่างผู้นำของจีนและของไทยครั้งนี้ ได้ช่วยคลี่คลายความหวาดระแวงระหว่างประเทศทั้งสอง นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงเริ่มสนใจที่จะติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อหาลู่ทางในการลดความขัดแย้งและปรับความสัมพันธ์ต่อกัน
อีกทั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2498 สหรัฐอเมริกาได้เปิดการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในระดับเอกอัครราชทูตที่นครเจนีวา เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในเอเชียและการปล่อยเชลยศึกชาวอเมริกันจากสงครามเกาหลี ทำให้คาดกันว่า การเจรจาอาจนำไปสู่การปรับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ผู้นำในวงการต่างๆ ของไทยจึงเริ่มตระหนักว่านโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์และต่อต้านจีนอย่างสุดขั้วของรัฐบาลที่ผ่านมาอาจไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของการเมืองระหว่างประเทศ
“ประวัติศาสตร์การทูตจีน-ไทย ยุคใต้ดิน” ของ ดร.กรุณา กุศลาสัย บันทึกว่า ในเดือนกันยายน พ.ศ.2498 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นายสังข์ พัธโนทัย คนสนิทดำเนินการจัดหาคนที่รู้ภาษาจีนและไว้ใจได้เพื่อเดินทางไปติดต่อกับจีนอย่างลับๆ
นี่จึงเป็นจุดเริ่มของความสัมพันธ์ไทย-จีน
แต่ก็เป็นจุดเริ่มแห่งความไม่พอใจของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง