

My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ
: แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (11)
ประกวดการสวมหมวกของสตรี 2484
ช่วงก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาระเบิดขึ้นไม่นาน ราวต้นเดือนสิงหาคม 2484 รัฐบาลจัดงานประกวดการสวมหมวกของเหล่าสตรีขึ้นที่เวทีลีลาศ สวนอัมพร อันเป็นสถานที่รื่นเริงที่รองรับงานเฉลิมฉลองสำคัญของรัฐสมัยคณะราษฎร เช่น งานวันชาติ งานฉลองรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
การประกวดแต่งกายประกอบการสวมหมวกครั้งนั้น มีหญิงสาวเข้าประกวดอย่างคึกคักและสร้างความครึกครื้นให้กับประชาชนที่แห่มาชมการประกวดกันอย่างอย่างล้นหลาม
เวทีประกวดไม่แต่เพียงคึกคักจากจำนวนหญิงสาวที่มาประกวดเท่านั้น แต่ยังมีเหล่าพี่เลี้ยง ช่างเสื้อ ช่างแต่งหน้า ช่างทำผมต่างรุมกันช่วยปรุงความงดงามให้กับผู้เข้าประกวดให้ดึงดูดความสนใจจากกรรมการประกวดให้มากที่สุด ความสวยความงามและการแข่งขันการแต่งกายตามสมัยรัฐนิยมจูงใจให้ชาวพระนครทั้งชายและหญิงมาชมงานที่สวนอัมพรอย่างคลาคล่ำ
กระแสการประกวดการสวมหมวกที่สวยงามและทันสมัยได้ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์และปกนิตยสารภาพร่วมสมัยจนโน้มน้าวให้คนไทยเห็นดีเห็นงามกับกระแสแฟชั่นใหม่กันอย่างท่วมท้น
ทั้งนี้ ในช่วงนั้น กรมโฆษณาการชักชวนให้คนไทยสวมหมวกโดยชี้ชวนให้เห็นถึงถึงประโยชน์ของหมวกที่เสริมการแต่งกายให้ดูดีว่าเดิมว่า หมวกเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่มีความจำเป็นไม่น้อยกว่าเสื้อผ้า นานาอารยประเทศล้วนนิยมการสวมหมวกจนถือเป็นประเพณีของสังคม
รวมทั้งชักแม่น้ำทั้งห้าให้คนไทยเห็นดีเห็นงามว่า สำหรับดินฟ้าอากาศของไทย การสวมหมวกน่าจะมีความจำเป็น แต่คนไทยส่วนมากครั้งนั้นมองข้ามความจำเป็นในการสวมหมวก กล่าวคือ สวมบ้าง ไม่สวมบ้าง โดยเฉพาะสุภาพสตรี นอกจากชาวชนบทที่ทำงานกลางแจ้งแล้วคนไทยทั่วไปไม่ได้สวมกันเลย ต้องทนกรำแดด กรำฝนโดยไม่จำเป็น และยิ่งกว่านั้นยังเหน็ดเหนื่อยจากความร้อนเป็นอุปสรรคต่อการประกอบกิจการงานด้วย ด้วยเหตุคนไทยยังมิได้ตระหนักถึงคุณประโยชน์ในการสวมหมวกก็ได้
ไม่แต่เพียงการสร้างเวทีประกวดการสวมหมวกสร้างกระแสความสวยความงามให้ประจักษ์แก่สังคมเพื่อเชิญชวนเท่านั้น แต่จอมพล ป.และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม มักปรากฏตัวในงานทั้งงานราชการและนอกราชการให้ปรากฏเป็นภาพข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งนักร้องหญิงของวงดนตรีกรมโฆษณาการต่างแต่งกายและสวมหมวกพร้อมเพรียงอย่างสวยงามในการออกวงในที่สาธารณะเพื่อร่วมกันเชิญชวนประชาชนให้แต่งกายตามอีกด้วย

รัฐบาลชี้ชวนว่า การสวมหมวกเป็นการแสดงถึงวัฒนธรรมอันสูงของชาติที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางสุขภาพอนามัย เช่น
1. ป้องกันใบหน้าถูกแสงแดดกล้านานๆ อันเป็นเหตุให้หน้าดำเกรียม เศร้า หมอง ไม่สดใส แลดูแก่เร็วจนเกินวัย
2. ป้องกันมิให้ผมถูกแดดอยู่นานๆ ทำให้ผมแดงแห้ง แข็งกระด้าง ไม่ละเอียด อ่อนนุ่มเป็นเงางาม
3. ป้องกันมิให้ท้ายทอยและต้นคอถูกแดดอาจทำให้เป็นลมหน้ามืด
4. ป้องกันน้ำค้าง ซึ่งอาจทำให้เป็นหวัดได้ง่าย อ่อนแอ เปิดโอกาสให้เป็นโรคอื่น
5. ป้องกันฝุ่นเข้าแทรกในเรือนผมจนกลายเป็นรังแค คันและทำให้ผมร่วง
6. ป้องกันมิให้สายตาเสีย เพราะการที่แสงแดดกระทบนัยน์ตาอยู่นานๆ จะทำให้สายตาเสียก่อนวัย
(คณะกรรมการจังหวัดพระนครและธนบุรี, 2484, 14-15)
ต้นปี 2485 จอมพล ป. เขียนบทความชื่อ “มาลานำไทยเปนมหาอำนาด” (2485) แจงประโยชน์ที่เกิดจากการสวมหมวกว่า “เราจะได้ประโยชน์อะไรจากการมีผู้ชมว่า ไทยเปนชาติที่นิยมการสวมหมวกทั่วถึงทุกคนจนเปนที่หนึ่งในโลกนี้ ขอตอบว่า เราได้ประโยชน์ในการทำให้ชาวต่างประเทสนับถือไนความเปนระเบียบและความสามัคคีของชาติเราและเปนชาติที่มีเกียรติยิ่งกว่าชาติใดๆ ทั้งนี้ก็เท่ากับเราช่วยกันยกย่องมวกให้เปนเกราะป้องกันเอกราช เปนกำลังหนุนไห้ชาติของเราก้าวสู่การเปนชาติใหย่เร็วยิ่งขึ้น” (สามัคคีไทย, 2486, 10)
การสร้างกระแสการสวมหมวกของสตรีในสังคมไทยได้สร้างความต้องการซื้อหมวกในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น นำไปสู่การสร้างงานขึ้นจากการตัดเย็บหมวกเร่งและการค้าขายหมวก และเครื่องแต่งกายตามแฟชั่นทั้งร้านใหญ่และร้านย่อยๆ มากขึ้นในสังคมไทยและแพร่กระจายไปยังชนบทด้วย

หมวกกลายเป็นสินค้าแฟชั่นที่ทำเงิน
ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าสตรีบางแห่งเริ่มหันมาตัดเย็บหมวกออกจำหน่ายตามกระแสนิยม ดังร้าน “เฉลิมนารี” ของ ม.ล.ฟ่อน สนิทวงศ์ ที่ถนนจักรพงษ์ จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากแฟชั่นสวมหมวกสมัยนั้น จากประวัติร้านมีว่า ในสมัยมาลานำไทยนั้น ร้านได้ตัดเย็บหมวกออกจำหน่าย หมวกของร้านมีแบบที่สวยงาม มีความแปลกตาเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าสตรี
ด้วยทางร้านเลาะหมวกจากต่างประเทศมาทำเป็นแบบตัดเย็บ ทำให้หมวกจากร้านเฉลิมนารี “ได้ชื่อว่าเป็นร้านที่เย็บหมวกได้สวยหรูที่สุด เป็นที่นิยมของสุภาพสตรีชั้นสูงนั้น หมวกเหล่านี้ได้รับการเย็บงดงามราวกับซื้อมาจากต่างประเทศ สินค้ามีเท่าไรก็ไม่พอจำหน่าย ต้องไปกว้านซื้อมาจำหน่ายอีกเรื่อยๆ นับเป็นยุคเงินยุคทองเลยทีเดียว สินค้าต่างประเทศมีเท่าไรขายจนหมดเกลี้ยงจึงต้องหันมาจำหน่ายสินค้าผลิตในประเทศแทน” (ฟ่อน สนิทวงศ์, 2520, 5)
ด้วยความต้องการสวมหมวกในสังคมครั้งนั้นมีสูงจนผลิตไม่ทันขาย ทำให้ทางร้านไปหาหมวกเก่า เช่น หมวกสักหลาดเก่า หมวกปานามา หมวกลูกเสือมาซักล้างทำความสะอาดให้ใหม่แล้วนำมาดัดแปลงขึ้นใหม่ด้วยการพับปีกขึ้น เจียนปีกหลังออกให้เล็กและกระดกขึ้นบ้าง นำดอกไม้ โบ มาประดับประดาหมวกพลิกแพลงให้เกิดความสวยงามเป็นที่ต้องตาต้องใจลูกค้า รวมทั้งมีการซ่อมแซมหมวกชำรุดแล้วนำมาขายใหม่ด้วย

ลักษณะเด่นของหมวกร้านนี้ มีความสวยงามและแปลกด้วยการประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ เข็มกลัด หัวเข็มขัด ขนนก เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังทำหมวกสานด้วยใบลาน ปอแก้ว ไม้ไผ่แล้วนำมาหุ้มด้วยผ้าสวยงาม ตบแต่งให้สวยงามแปลกตามแคตาล็อกฝรั่ง หรือเลียนแบบหมวกจากนิตยสารภาพยนตร์ฝรั่ง ถึงขนาด “มีเท่าไรๆ ขายหมด ระดมเย็บทั้งกลางวันกลางคืน แม้การขายหมวกจะทำรายได้ในช่วงเวลาไม่นาน แต่ทำรายได้ให้มาก” รายได้จากการขายหมวกในสมัยมาลานำไทยนั้นทำให้สามารถเก็บเงินซื้อที่ดินได้ถึง 2 แปลง (ฟ่อน สนิทวงศ์, 2520, 17-18)
กาญจนี คำบุญรัตน์ ผู้เกิดทันยุคสมัยเล่าว่า สตรีสมัยนั้นบ้างใส่หมวกที่ทำด้วยผ้ามาเย็บเป็นรูปหมวก แต่สตรีชาวบ้านโดยทั่วไปมักสวมหมวกที่ทำด้วยใบลานเอามาถักและเย็บเป็นรูปหมวก โดยชาวบ้านจะตัดเอาใบลานเอาใบอ่อนที่แก่พอสมควรมาถักให้แน่นหนาแล้วเอาไปจ้างช่างเย็บเป็นรูปหมวกมีปีก ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการตัดใบลาน การตัดใบลานเส้นสำหรับสานหมวกเอามาขายในตลาด ผู้คนก็ซื้อใบลานเส้นนั่งถักใบลานให้เป็นเส้นใหญ่แล้วจึงเอาไปเย็บเป็นรูปหมวก เด็กสมัยนั้นจึงนั่งถักใบลานกันเป็นเรื่องเป็นราวให้ได้เส้นยาว แล้วเอาไปจ้างเขาเย็บเป็นรูปหมวกมีปีกอันสวยงาม
(silpa-mag.com/culture/article_1453)






