
เหรียญรูปไข่ ‘หลวงปู่บุญ’ วัดบ้านนาสีนวล-สารคาม พระเกจิดังพยัคฆภูมิพิสัย

โฟกัสพระเครื่อง |โคมคำ
“พระครูสถิตธรรมาจารย์” หรือ “หลวงปู่บุญ ฐิตธัมโม” อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านนาสีนวล และอดีตเจ้าคณะตำบลนาสีนวล อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม
พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งมหาสารคาม สืบสายธรรมจากพระครูสีหราช วัดบ้านแก่นท้าว บูรพาจารย์รุ่นเก่าภาคอีสาน
วัตถุมงคลสร้างน้อยรุ่นมาก แต่ที่ได้รับนิยมคือ “เหรียญรูปไข่ ปี 2513”
รุ่นนี้ วัดบ้านนาสีนวล จัดสร้างเพื่อแจกศิษยานุศิษย์ที่ร่วมงานมุทิตาสักการะเมื่อครั้งอายุวัฒนมงคล 70 ปี พรรษา 50 รวมทั้งแจกเป็นที่ระลึกในโอกาสกฐินและผ้าป่า มาทอดถวายสมทบทุนสร้างสาธารณูปโภคในวัด
เป็นเหรียญทองแดงผิวไฟ สร้างประมาณ 5,000 เหรียญ ลักษณะเป็นทรงกลมยกขอบ มีหูห่วง
ด้านหน้าตรงกลางมีรูปเหมือนครึ่งองค์ หันหน้าตรง ด้านล่างรูปเหมือน เขียนคำว่า “พระครูสถิตธรรมาจารย์”
ด้านหลังตรงกลางมีอักขระยันต์ 4 ทิศ เริ่มจากยันต์ประจำมุมทั้ง 4 อ่านว่า “มะ นะ พะ ทะ” และยันต์สอดไส้ทั้ง 4 ทิศ อ่านว่า “มะ นะ พะ พะ นะ มะ อุ อะ”
ส่วนตรงกลางในบริเวณสี่เหลี่ยมอ่านว่า “นะ โม พุทธา ยะ” ชั้นในสุดเป็นยันต์เฑาะว์ และล่างสุดมีอักษรเขียนว่า “รุ่น ๒๕๑๓” ซึ่งเป็นปีพุทธศักราชที่จัดสร้าง
เหรียญรุ่นดังกล่าว หลวงปู่บุญนำแผ่นชนวนไปให้พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักสายพระครูสีหราช ลงอักขระยันต์ อาทิ หลวงปู่มี กันตสีโล วัดแวงดง อ.ยางสีราช, หลวงพ่อสา วัดบ้านเหล่า อ.พยัคฆภูมิพิสัย เป็นต้น
อีกทั้งประกอบพิธีพุทธาภิเษกเดี่ยวภายในอุโบสถตลอดพรรษา เจตนาการจัดสร้างที่บริสุทธิ์จึงเด่นรอบด้าน
ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง ต่างมีประสบการณ์อัศจรรย์ สามารถผ่อนหนักเป็นเบา
จัดเป็นอีกเหรียญยอดนิยมของอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย


อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า บุญ ยิ่งแม้นโสม เกิดในปี พ.ศ.2443 ที่บ้านนาสีนวล อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของนายวัน-แม่เพ็ง ยิ่งแม้นโสม ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา
ช่วงวัยเด็กช่วยงานครอบครัวด้วยความขยันขันแข็ง และเป็นผู้มีจิตใจเอนเอียงเข้าหาพระธรรม เมื่ออายุได้ 14 ปี บิดา-มารดาได้นำไปบรรพชาที่วัดในหมู่บ้าน
จนอายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่อุโบสถวัดบ้านแก่นท้าว อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมีพระครูสีหราช วัดบ้านแก่นท้าว พระเกจิชื่อดังของอีสาน เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูจันทสีตลคุณ วัดทองนพคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
จากนั้น จำพรรษาศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ที่สำนักเรียนวัดบ้านแก่นท้าว ด้วยความขยันขันแข็ง มุมานะจนสอบได้นักธรรมชั้นโท รวมทั้งยังเรียนบาลีไวยากรณ์เบื้องต้น
นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจด้านวิทยาคม ในยุคนั้นชื่อเสียงของพระครูสีหราช พระอุปัชฌาย์ที่โด่งดังไปทั่วอีสาน จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิทยาคม ซึ่งได้รับความเมตตาถ่ายทอดวิทยาคมให้จนหมดสิ้น รวมทั้งยังศึกษาอักขระโบราณเขมร ลาว ไทยน้อย
หลังจำพรรษาอยู่วัดบ้านแก่นท้าว ประมาณ 3 พรรษา ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านนาสีนวลว่างลง ชาวบ้านนาสีนวลและคณะสงฆ์อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ได้นิมนต์ให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งก็รับนิมนต์และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ตราบจนวาระสุดท้าย
ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจพัฒนาวัดแห่งนี้เต็มความสามารถ เสนาสนะไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถ กุฏิ กำแพงแก้ว เป็นต้น มีครบหมด
ยามว่างจะนำพาชาวบ้านพัฒนาสาธารณูปโภคในหมู่บ้านทุกด้าน เช่น พัฒนาถนนที่เชื่อมหมู่บ้านอื่นๆ เพื่อให้ญาติโยมสัญจรไปมาหากันได้อย่างสะดวก
นอกจากนี้ ยังแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยพาชาวบ้านร่วมกันขุดบ่อทำฝายเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง

จากความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย วัตรปฏิบัติจำเริญรอยตามพระครูสีหราช ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ควบคู่กับหลวงปู่มี กันตสีโล วัดป่าสันติธรรม ซึ่งเป็นสายธรรมพระครูสีหราชรุ่นสุดท้ายเช่นกัน
ทำให้ในแต่ละวันจะมีญาติโยมจากทั่วสารทิศ เดินทางมากราบนมัสการ และขอรับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ รวมทั้งปรารถนาวัตถุมงคลเหรียญรูปเหมือนรุ่น 1 และตะกรุดโทนอย่างล้นหลาม
พร่ำสอนญาติโยมว่า อย่าดำรงชีวิตด้วยความประมาท ขณะยังมีชีวิตขอให้ทุกคนหมั่นประกอบแต่กรรมดี จะทำให้ชีวิตตนเองและครอบครัวพานพบแต่ความสุข
ให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาสงฆ์ ตั้งสำนักเรียนพระปริยัติธรรมเพื่อไม่ให้พระภิกษุ-สามเณร ต้องลำบากเดินทางไกลไปเรียนที่สำนักเรียนอื่น สำหรับพระภิกษุ-สามเณรที่เรียนดี จะมอบปัจจัยส่วนตัวเป็นทุนการศึกษาให้ทุกปี
นอกจากนี้ ทุกครั้งที่แสดงธรรมโปรดญาติโยม จะสอดแทรกประโยชน์ของต้นไม้ที่มีต่อมนุษย์และสัตว์เข้าไปด้วย ทำให้ภายในบริเวณวัดแห่งนี้อุดมไปด้วยไม้ผล ไม้ยืนต้น มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็นปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
สำหรับตำแหน่งปกครอง ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านนาสีนวล เจ้าคณะตำบลนาสีนวล และได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ที่พระครูสถิตธรรมาจารย์
ในช่วงบั้นปลายชีวิต อาพาธบ่อยครั้ง สุดท้ายได้มรณภาพอย่างสงบ พ.ศ.2519 สิริอายุ 76 ปี พรรษา 56
วันนี้ แม้ละสังขารไปนานกว่า 50 ปี แต่คุณงามความดียังคงปรากฏอยู่ในใจของพุทธศาสนิกชนชาวมหาสารคามไปตราบนานเท่านาน