
Remnants of Fading Shadows | การเชื่อมร้อยประเด็นทางสังคมการเมือง กับร่องรอยอันเลือนรางของความทรงจำส่วนตัว

อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
ในบางครั้ง ศิลปินบางคนทำงานศิลปะเพื่อตีแผ่เรื่องราวและสถานการณ์ส่วนตัวของตนเอง ทั้งอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำ ประสบการณ์ ความสัมพันธ์ และวิถีชีวิตที่ผ่านมาได้อย่างลึกซึ้ง ในขณะเดียวกัน ศิลปินบางคนก็ทำงานศิลปะเพื่อสะท้อนเรื่องราวและสถานการณ์ทางสังคม การเมือง ประวัติศาสตร์ และวันเวลาที่ไหลผ่านรอบตัวของพวกเขาได้อย่างชัดเจน ทรงพลัง ที่น่าสนใจก็คือ ในบางครั้ง ศิลปินบางคนสามารถใช้เรื่องราวและสถานการณ์ส่วนตัวของตนเอง สะท้อนสถานการณ์ทางสังคม การเมือง และเรื่องราวรอบๆ ตัวออกมาได้อย่างเด่นชัดน่าสนใจเช่นเดียวกัน
หนึ่งในจำนวนนั้นคือ วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร ศิลปินร่วมสมัยผู้ทำงานศิลปะในเชิงคอนเซ็ปช่วล เธอสนใจในการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของชีวิต รวมถึงสำรวจประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในสายพันธ์อื่นๆ ผ่านผลงานหลากสื่อหลายแขนงอย่างงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, ศิลปะจัดวาง, วิดีโอจัดวาง และศิลปะจัดวางปฏิสัมพันธ์ (Interactive installation)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในนิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งล่าสุดของวันทนีย์อย่าง Remnants of Fading Shadows นั้นไม่ต่างอะไรกับการสร้างพื้นที่อันเงียบงัน เพื่อสำรวจการเคลื่อนผ่านของร่องรอยความทรงจำของเธอ ทั้งในระดับส่วนตัวอันเปราะบาง อย่างความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอื่น ในขณะเดียวกันก็พาดเกี่ยวไปกับสังคม การเมือง ประวัติศาสตร์ รัฐ ชาติ
ไปจนถึงการย้อนกลับมามองถึงความเป็นไปทางธรรมชาติในมิติของนิเวศวิทยา ระบบสังคมที่กำลังจะแตกสลาย และความทรงจำที่กำลังค่อยๆ เลือนหาย หากทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้เบื้องหลัง


“นิทรรศการครั้งนี้ เรากำลังคิดถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกพูดถึง หรือถูกพูดถึงในอีกแง่มุมหนึ่ง โดยที่เราไม่ได้สนใจมาก เราพยายามทำให้เหมือนโครงสร้างของความทรงจำส่วนตัว ว่าเรามองโลกข้างนอกอย่างไร เพราะการสร้างงานศิลปะในทุกครั้งของเรา ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร งานนั้นไม่มีทางที่จะปรากฏขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว หากแต่มีเส้นทางของการพยายามทำความเข้าใจตัวเองร่วมอยู่ด้วย จนกระทั่งพอเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็ไม่แน่ใจนะ ว่าเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า แต่การทำงานเป็นการสรุปตัวเราเองในระยะหนึ่ง ซึ่งต่อไปอาจจะเปลี่ยนแปลงไป หรือไม่เหมือนเดิมก็เป็นได้”
ประเด็นเช่นนี้ปรากฏใน Hand Stitched Works by Daeng Siripattananuntakul ผลงานปักผ้ารูปสัตว์ ที่วันทนีย์ระบุกับเราว่า เธอยกให้เป็นผลงานชิ้นแรกของนิทรรศการครั้งนี้
“ผลงานชุดนี้เป็นของแม่ของเรา ที่เป็นช่างตัดผ้า คือตอนที่เราทำงานกับบอยซ์แรกๆ เราเข้าใจว่าเป็นเพราะเราสูญเสียพ่อ เราจึงอยากเริ่มเข้าใจชีวิตโดยการเรียนรู้ผ่านนกแก้ว พอมาถึงจุดหนึ่ง เราก็รู้สึกว่าเหตุผลในการเลือกทำงานในลักษณะนั้นคงไม่ปุบปับขนาดนั้น คงต้องมีรากอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสนใจทำงานกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ท้ายที่สุด เราก็กลับไปค้นพบว่า ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวคนรักสัตว์ แม่เราชอบนก เลี้ยงนกมานานแล้ว นกหงส์หยก นกแก้ว พ่อเราเป็นคนชอบหมา ที่บ้านเรามีหมาเยอะ อาม่าเราเป็นคนชอบแมว พี่ชายเราเลี้ยงกระแต กระรอก ปลา ตั้งแต่เด็ก เราเติบโตมาอยู่กับเรื่องสัตว์ตลอดเวลา พอแม่ของเราเสีย เราก็เริ่มรู้สึกว่า เรามองผลงานชิ้นนี้ของแม่เปลี่ยนไป เพราะงานชิ้นนี้ถูกทำขึ้นมาก่อนเราเกิด แต่ด้วยความจำเป็นของการมีชีวิต เขาก็เปลี่ยนงานการของเขาไป เราก็เลยนำผลงานชิ้นนี้มาจัดแสดงให้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของนิทรรศการนี้ เพราะเราพยายามจะทบทวนตัวเองว่า ก่อนจะมาสู่ตัวตนตรงจุดนี้ เรามาจากไหนกันแน่?”
ตามมาด้วย Where Wings Remember (2024) ผลงานประติมากรรมจัดวางจากกระเบื้องพอร์ซเลน ที่มีต้นแบบจากข้าวของเครื่องใช้ของแม่ผู้ล่วงลับของวันทนีย์


“หลังจากแม่เสีย เรามีโอกาสได้ไปเป็นศิลปินพำนักทำเซรามิกที่เมืองจิ่งเต๋อเจิ้น ประเทศจีน เราก็ทำงานที่มีต้นแบบจากไม้เท้าที่แม่เราชอบใช้ ก่อนที่แม่เราจะเสีย เราก็คิดจะทิ้งไม้เท้านี่ซะ แต่พอแม่เสียจริงๆ เราก็ทิ้งไม่ลง ก็คิดว่าจะเอาไปคืนที่เมืองจีน ไปๆ มาๆ เราก็เอาไม้เท้าไปหล่อ และทำเป็นงานเซรามิกรูปไม้เท้า ส่วนไม้เท้าจริงเราก็เอากลับมาไว้ที่บ้านเหมือนเดิม จำนวนที่ทำออกมาก็เท่ากับจำนวนอายุของแม่ ที่เสียตอนอายุ 90 เราก็ทำไม้เท้าออกมา 9 อัน (1 อัน = 10)”
“ส่วนไม้เท้าที่มีนกเกาะอยู่ เราทำต่อเนื่องมาจากตอนที่ทำงานร่วมแสดงใน มหกรรมศิลปะ ไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย 2023 ตอนนั้นเราไปค้นคว้าจนพบว่า สงครามเย็นเป็นช่วงตั้งต้นของความรู้บางอย่าง อาทิ เรื่องราวของ คุณหมอบุญส่ง เลขะกุล ผู้บุกเบิกการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้และสัตว์ป่าของประเทศไทย ผู้พบนกกระเต็นที่แม่น้ำตรงเชียงแสน และจับมาสตัฟฟ์เอาไว้ เราก็จำลองเอานกชนิดนี้เข้ามาเกาะอยู่บนประติมากรรมไม้เท้าของแม่ชิ้นหนึ่งนั่นเอง”
ความเกี่ยวพันกับสัตว์นี่เอง ที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นในการทำงานของวันทนีย์ ด้วยการทำงานในเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ ผลงานของเธอเป็นการพยายามทำความเข้าใจและแสดงการเคารพสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ที่มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และมีความเชื่อมโยงกับมนุษย์ ทั้งในแง่ของอารมณ์ความรู้สึกอันละเอียดอ่อน และความรักความผูกพัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานร่วมกับ “บอยซ์” นกแก้วแอฟริกันเกรย์ (ที่เธอหยิบยืมชื่อมาจาก โจเซฟ บอยซ์ (Joseph Beuys) ศิลปินชาวเยอรมันยุคหลังสงครามผู้ทรงอิทธิพลในโลกศิลปะ) ในผลงานชิ้นสำคัญของเธอหลายต่อหลายชุด รวมถึงผลงานในนิทรรศการครั้งนี้ด้วย

“ส่วนหนึ่งของความทรงจำของเราเป็นความทรงจำที่มาจากประวัติศาสตร์ เราเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ แล้วพบว่ามีบางสิ่งที่ถูกมองข้าม พยายามที่จะไม่พูดถึง หรือพยายามลืม อย่างเช่นในประวัติศาสตร์มีการบันทึกถึงสถานการณ์ว่า ผู้นำคนนี้ถูกฆ่าตาย ประเทศนี้ถูกยึดครอง แต่มักจะไม่ค่อยมีใครกล่าวว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบทำให้สัตว์ชนิดไหนบาดเจ็บล้มตาย หรือถูกยึดครองบ้าง”
ประเด็นเช่นนี้ปรากฏในผลงานที่วันทนีย์ทำร่วมกับบอยซ์ นกแก้วผู้เป็นเพื่อนร่วมชีวิตของเธอในนิทรรศการครั้งนี้ อย่างเช่น The Quiet Gaze (2025) ผลงานจิตรกรรมสื่อผสมที่ทำขึ้นจากขนสีแดงและเทาของบอยซ์ปะติดกันเป็นรูปทรงคล้ายกับดวงตามนุษย์
“ผลงานชิ้นนี้เราทำขึ้นจากขนของบอยซ์ เพราะส่วนตัวเราสนใจว่า เวลาที่เราพูดถึงสถานการณ์ของโลกหรือสถานการณ์ของทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว นั้นไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่มองเห็นสิ่งต่างๆ จริงๆ มีสิ่งมีชีวิตอื่นที่ซ่อนและคอยแอบมองอยู่เช่นกัน เราก็เลยรู้สึกว่ามนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั้นมีความเชื่อมโยงกัน”



หรือผลงานอีกชิ้นอย่าง Freeze TV (2016) วิดีโอจัดวางที่สะท้อนสถานการณ์ทางการเมืองของการรัฐประหาร ผ่านพฤติกรรมของบอยซ์ที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองไม่ต่างอะไรกับมนุษย์
“ด้วยความที่ช่วงเวลาที่บอยซ์เกิดมา เป็นช่วงปี พ.ศ.2557 ที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารโดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงนั้นวันๆ เราเปิดโทรทัศน์ ก็ได้ยินแต่เสียงของประยุทธ์ เราก็เลยลองเอาโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดเสียงของประยุทธ์ ไปใส่ในกรงเปิดให้บอยซ์ฟัง เพื่อดูว่าเขาจะทำอย่างไร ปรากฏว่าเขาทนฟังไม่ได้ ทรมาน กัดนิ้วเท้าตัวเอง พยายามหาทางหนีออกจากกรง สุดท้ายเขาก็งัดกรงจนประตูเปิด แล้วก็บินหนีออกไปเลย”
หรือผลงาน And Yet the Earth is Moved (2023) ขนปีกของบอยซ์ที่ถูกนำไปสแกน 3 มิติ แล้วนำมาขยายเป็นงานประติมากรรมไฟเบอร์กลาสขนาดใหญ่ เพื่อสำรวจว่า ถ้าขนาดของขนนกเปลี่ยนแปลงไป เราจะมองเห็นอะไรบ้าง
“การทำงานกับบอยซ์ทำให้เราเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง คือเราเริ่มสนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น เริ่มมองเห็นสิ่งที่เคยมองข้าม สิ่งที่ไม่เคยถูกพูดถึง หรือความไม่ปกติในสังคม ที่กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป การทำงานกับบอยซ์ทำให้เราหันมาสังเกตสิ่งเหล่านี้มากขึ้น”




ท้ายสุด กับผลงาน Making The Unknown Known (2023) ผลงานวิดีโอจัดวางสามช่อง ที่ร้อยเรียงการขับขานทางภูมิรัฐศาสตร์ผ่านสามพื้นที่บนโลก อย่าง ผืนดิน ท้องฟ้า และผืนน้ำ โดยวิดีโอจอหนึ่งนำเสนอของตัวแทนของผืนดินอย่างช้างเผือก สัญลักษณ์ของราชอำนาจ ที่เคยเป็นพยานในสงครามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หากแต่ในงานชิ้นนี้กลับเป็นช้างธรรมดาที่ถูกตกแต่งให้เป็นช้างเผือก เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย) ในวิดีโอยังมีเสียงของ ถนอม ชาภักดี นักวิจารณ์และนักปฏิบัติการด้านศิลปะชาวไทยผู้ล่วงลับ กล่าวถึงสถานภาพของช้างเผือกในบริบททางสังคมการเมือง, ส่วนอีกจอนำเสนอภาพเคลื่อนไหวของ นกแก้วสีเทาแอฟริกัน ที่เป็นตัวแทนของผืนฟ้า แสดงความหรูหราที่ถูกลดทอนจนกลายเป็นสินค้าในตลาดโลก สะท้อนถึงการสูญเสียความงามและเสรีภาพตามธรรมชาติ และจอสุดท้ายนำเสนอตัวแทนของผืนน้ำ อย่างแม่น้ำโขง สายน้ำที่เป็นเหมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนนับล้าน หากในปัจจุบันกลับถูกกักกันด้วยเขื่อนหลายแห่ง จนทำให้เกิดปัญหาภัยแล้ง ไม่ต่างอะไรกับเงามืดที่ทาบทับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมริมฝั่งโขงเจียมที่เคยมีชีวิตชีวา เหลือเพียงเสียงกระซิบของลำธารที่แห้งผากและความฝันที่แตกร้าง แม่น้ำที่เคยเป็นสายใยแห่งชีวิต กลับกลายเป็นทรัพยากรที่ถูกควบคุมโดยประเทศมหาอำนาจ
ถึงแม้ผลงานของวันทนีย์จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นส่วนตัวกับประเด็นทางสังคมการเมืองได้อย่างกลมกลืนลงตัวแล้ว หากเธอก็กล่าวถึงบทบาทในฐานะศิลปินของเธอว่า
“เราไม่เคยบอกว่าเราทำงานศิลปะเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมือง เราแค่บอกว่าเราคิดอะไร เหมือนที่มีใครบางคนถามว่า ศิลปะเปลี่ยนแปลงโลกได้ไหม? เราคิดว่าไม่ได้ เพราะถ้าเปลี่ยนได้ ก็ไม่ต้องมีนักการเมือง งานศิลปะที่เราทำเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการบันทึกสถานการณ์บางอย่างรอบตัว ที่จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกเล่าขานต่อไป เรามีหน้าที่เพียงแค่นี้เท่านั้น”
ผลงานที่เราหยิบมาเล่าในครานี้เป็นแค่บางส่วนในนิทรรศการเท่านั้น หากใครต้องการเห็นผลงานทั้งหมด ก็ติดตามไปชมกันได้ในนิทรรศการ Remnants of Fading Shadows โดย วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร และภัณฑารักษ์ กฤษฎา ดุษฎีวนิช ณ หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน-31 สิงหาคม 2568 เปิดทำการ วันจันทร์ถึงเสาร์ 09.00-18.00 น. (ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อีเมล [email protected] โทรศัพท์ 0-2221-3841, Facebook ART CENTRE, SILPAKORN UNIVERSITY
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากภัณฑารักษ์ หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร


