

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ในเกมอันยาวนานของประชาธิปไตย
เรากะพริบตาไม่ได้
ไม่กี่วันก่อน ผมมีโอกาสเดินทางไปยังกรุงจาการ์ตา เพื่อเข้าร่วมวงสนทนาสาธารณะที่จัดขึ้นโดย Foreign Policy Community of Indonesia (FPCI) องค์กรที่ก่อตั้งโดย ดร.ดิโน ปัตตี จาลาล อดีตเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำสหรัฐ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ
ดร.ดิโนเชื่อว่าการต่างประเทศของภูมิภาคนี้ควรตั้งอยู่บนฐานของคุณค่า ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า
และในขณะเดียวกัน เขาก็สร้างเวทีให้คนรุ่นใหม่ในอาเซียนมีที่ยืน มีที่คิด และมีที่เปล่งเสียง
ในกรุงจาการ์ตา ผมได้พูดคุยกับคนไทยจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน นักการเงิน ผู้เชี่ยวชาญ และนักศึกษา จากบริษัทอย่าง บ้านปู ที่ดำเนินธุรกิจพลังงานในอินโดนีเซียมานานหลายทศวรรษ, SCG ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทไทยที่ลงทุนระยะยาวและให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่น, รวมถึง Permata Bank ซึ่งปัจจุบันเป็นธนาคารอินโดนีเซียที่ควบรวมกับธนาคารกรุงเทพ กลายเป็นสะพานทางการเงินระหว่างสองประเทศที่แข็งแรงในเชิงโครงสร้าง
ผมยังได้แลกเปลี่ยนกับนักศึกษาไทยที่เรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของอินโดนีเซีย เช่น Universitas Indonesia, Gadjah Mada และ Binus International หลายคนกำลังศึกษาในสาขาที่เชื่อมโยงกับอนาคตของภูมิภาค ทั้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจดิจิทัล และการเงินอิสลาม
พวกเขาไม่ใช่แค่ “เยาวชน” แต่คือผู้สร้างสะพานเชื่อมอนาคตไทย-อินโดนีเซียอย่างเงียบๆ และมั่นคง
สิ่งแรกที่ผมได้เรียนรู้จากบทสนทนานั้น คือการเมืองที่ดีไม่ควรบีบให้เราเลือกระหว่างอุดมการณ์กับความเป็นจริง อุดมการณ์ที่ไม่มีการลงมือทำคือฝันกลางวัน แต่การเมืองที่ไร้หลักการก็เป็นเพียงการจัดการอำนาจให้หมุนเวียนอยู่ในมือคนเดิม เราไม่ได้ต้องการคนที่ชนะเกมเก่าเก่ง แต่ต้องการคนที่กล้าตั้งกติกาใหม่
คำว่า “เผด็จการ” ในยุคนี้อาจไม่ปรากฏพร้อมรถถังหรือคำสั่งพิเศษ แต่มาเงียบๆ ผ่านคำตัดสินของศาล ร่างกฎหมาย การควบคุมสื่อ และความรู้สึกหมดหวังที่ซึมลึกจนคนเลิกเชื่อว่าการเมืองเปลี่ยนอะไรได้ ประชาธิปไตยไม่ได้ล้มในวันเดียว แต่มักจะผุพังไปเรื่อยๆ อย่างที่ไม่มีใครทันสังเกต
และเมื่อระบบสั่นคลอน ความไว้วางใจคือสิ่งแรกที่เราต้องสร้างขึ้นใหม่ แต่ในยุคของความระแวง ความเชื่อใจไม่สามารถซื้อได้ด้วยวาทกรรมหรือชื่อเสียง มันต้องมาจากการแสดงออกในวันที่ไม่มีใครจับตา จากความคงเส้นคงวาในวันที่เจอแรงต้าน
อินโดนีเซียสอนเราว่า การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริงไม่อาจฝากไว้ที่นักการเมืองเพียงอย่างเดียว หลังปี 1998 มันคือภาคประชาชน-นักศึกษา นักข่าว ผู้นำชุมชน-ที่ถือธงนำ พลังนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือรากของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
และในไทยเอง เมื่อกลไกทางการเมืองไม่ตอบสนอง มันก็คือภาคประชาชนที่ยืนอยู่แถวหน้าเสมอ
ผู้นำที่แท้ในยุคนี้ไม่ใช่คนที่ยืนเด่นอยู่กลางเวที แต่คือคนที่เชื่อมโยงผู้คนให้มองไปทางเดียวกัน คนที่กล้ายืนอยู่กับความจริง แม้จะถูกดึงให้โอนอ่อนทุกวัน เราไม่ต้องการผู้นำที่เอาแต่ตัดสิน แต่ต้องการคนที่ฟัง และฟังอย่างแท้จริง
ความท้าทายอีกด้านคือการสื่อสารการเมืองที่ถูกลดทอนให้เหลือเพียงแค่การขายภาพลักษณ์ในโซเชียลมีเดีย เราเริ่มเห็นการเมืองที่ตื้นแต่เรียบ การนำเสนอที่สวยแต่ไม่มีเนื้อ
ความชัดเจนไม่ควรถูกตีความว่าเป็นการ “ลดระดับ” เพราะประชาชนไม่ได้โง่ พวกเขาแค่เบื่อกับการพูดจาอ้อมค้อมของนักการเมือง
แล้วคนรุ่นใหม่ล่ะ?
หลายคนสิ้นศรัทธาไปแล้ว และไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะระบบจำนวนมากในภูมิภาคนี้ไม่ได้ให้ที่ยืนกับพวกเขาตั้งแต่ต้น
แต่ประวัติศาสตร์ของอาเซียนเองก็สอนเราว่า การเปลี่ยนแปลงแท้จริงมักเริ่มจากคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะที่กวางจูในเกาหลีใต้ รีฟอร์มาซีในอินโดนีเซีย หรือพฤษภาทมิฬในไทย
การลุกขึ้นของคนรุ่นใหม่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ แต่มันคือวัฏจักรของเสรีภาพ
และในวันนี้ พลังนั้นก็ยังคงชัดเจน ปี 2025 นี้ อินโดนีเซียเพิ่งผ่านเหตุการณ์เคลื่อนไหวของเยาวชน 2 ครั้งใหญ่ที่น่าสนใจ :
1. การชุมนุมต่อต้านการลดอายุผู้สมัครประธานาธิบดี
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เยาวชนหลายพันคนรวมตัวกันทั่วมหาวิทยาลัยในกรุงจาการ์ตาและเมืองใหญ่ เพื่อคัดค้านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้บุตรชายของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ตามกฎหมายเดิม
เยาวชนเหล่านี้มองว่านี่คือการ “บิดกฎ” เพื่อสืบทอดอำนาจ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการบ่อนเซาะความยุติธรรมทางการเมือง
2. ขบวนการ “Dark Indonesia”
เป็นกระแสออนไลน์ที่จุดติดอย่างรวดเร็วในช่วงกลางปี หลังเกิดกรณีการปิดกั้นข้อมูลจากรัฐบาลและการใช้กฎหมายไซเบอร์กดดันนักกิจกรรม เยาวชนหลายแสนคนเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียเป็นสีดำ พร้อมเขียนแฮชแท็ก #DarkIndonesia เพื่อต่อต้าน “ความมืด” ที่กำลังกัดกร่อนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
การเคลื่อนไหวเหล่านี้เตือนเราว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการแค่สิทธิเลือกตั้ง แต่ต้องการอนาคตที่มีความหมาย มีพื้นที่ปลอดภัยทางความคิด และมีโอกาสร่วมกำหนดประเทศในฐานะเจ้าของ ไม่ใช่เพียงผู้รับนโยบาย
และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องพูดถึง “การเป็นตัวแทน” ของเยาวชนในทางการเมืองอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่จัดเวทีให้พวกเขาพูด แต่ต้องรับฟังและให้พวกเขามีที่ยืนในการออกแบบกติกาใหม่ของประเทศ
ผมยังเชื่อว่า ประชาธิปไตยต้องปลูกฝังเองจากภายใน ไม่อาจนำเข้าหรือฝังไว้จากข้างนอกได้ ระบอบที่ยั่งยืนต้องสะท้อนวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และความเจ็บปวดของแต่ละประเทศ อาเซียนควรเป็นมากกว่าเวทีเศรษฐกิจ ต้องเป็นพื้นที่ที่เราปกป้องกันและกันในนามของหลักการร่วม
และสุดท้าย เมื่อการเมืองกลายเป็นสนามของบุคลิกภาพ เราต้องไม่ยอมให้เนื้อหากลายเป็นของแถม ประชาชนมีสิทธิตั้งคำถาม และนักการเมืองมีหน้าที่ตอบด้วยสาระ ไม่ใช่แค่ท่าที
วงสนทนาในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนทางความคิด แต่มันเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนปัญหาที่เราแชร์กันทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ จาการ์ตา หรือมะนิลา ความกดดันคล้ายกัน การต่อสู้ก็คล้ายกัน
แต่ในท่ามกลางความคล้ายกันนั้น ผมเห็นความหวัง
ไม่ใช่เพราะระบบมันดีแล้ว แต่เพราะยังมีคนมากมายที่พร้อมจะทำให้มันดีขึ้น-ในแบบเงียบๆ แบบเหนียวแน่น และแบบไม่ถอยง่ายๆ
หวังจากการเคลื่อนไหวของเยาวชน
หวังจากบทเรียนของประเทศเพื่อนบ้าน
และหวังจาก “คนไทยไกลบ้าน” ที่ผมได้มีโอกาสพบระหว่างการเดินทางครั้งนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022