

บทความพิเศษ |พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ทหารมีไว้ ‘ปกป้อง’ ประเทศ
ไม่ใช่ ‘ปกครอง’ ประเทศ
เมื่อเสียงเรียกร้องให้ตอบโต้ทางทหารกลับมาดังขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
ผมขอยืนยันหลักการที่ผมยืนหยัดมาตลอดว่า
ทหารมีไว้เพื่อ “ปกป้อง” ประเทศ ไม่ใช่ “ปกครอง” ประเทศ
ที่ผ่านมา เราจึงพยายามปกป้องทหารที่ทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ ยืนอยู่ข้างประชาชน ไม่ใช่อยู่เหนือประชาชน
เราเชื่อว่าทหารควรได้รับสวัสดิการที่เป็นธรรม ใช้เทคโนโลยีทันสมัย และเติบโตจากความขยันและซื่อสัตย์ ไม่ใช่จากสายสัมพันธ์หรืออำนาจพิเศษ
ในขณะเดียวกัน เราปฏิเสธบทบาทของทหารที่แทรกแซงการเมือง ละเมิดสิทธิมนุษยชน ใช้อำนาจนอกระบบ VVIP หรือเบียดเบียนงบประมาณที่ควรเป็นของประชาชน
เพราะกองทัพที่เข้มแข็ง ต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดโยงกับประชาชน
เมื่อผมยืนยันหลักการนี้ในช่วงเวลาที่ผู้คนห่วงใยชาติบ้านเมือง
ก็มีบางฝ่ายนำข้อความเก่ามาตัดตอน เพื่อปลุกกระแสโดยไม่อิงบริบท
โดยละเลยจุดยืนอันมั่นคงของผมที่ย้ำชัดเสมอมา
ผมไม่ต้องการให้คำพูดของใครก็ตาม ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในการปลุกปั่นความเกลียดชัง หรือวาทกรรมชาตินิยมสุดโต่ง
เพราะความรักชาติที่แท้จริง ไม่ใช่การตะโกนดังที่สุด
แต่คือการยืนหยัดในหลักการ แม้ในวันที่กระแสไม่เป็นใจ
คือการปกป้องสันติภาพ แม้ในวันที่คนอื่นอาจเลือกสงคราม
ขณะเขียนบทความนี้ ผมได้อ่านบทความหนึ่งในมติชนสุดสัปดาห์ ล่าสุดชื่อว่า “ศึกชายแดนอินเดีย-ปากีสถานจบแล้ว? แต่โลกออนไลน์ยังซัดกันนัว” โดยคอลัมนิสต์ “พาราตีรีตีส”
บทความนั้นชี้ให้เห็นว่า ในสงครามยุคใหม่ อาวุธหลักไม่ใช่ปืน แต่คือแพลตฟอร์มและวาทกรรม
หรือที่เรียกว่า สงครามการเล่าเรื่อง (War of Narrative)
แม้เสียงปืนจะสงบ แต่ในโลกออนไลน์ ข้อความบิดเบือนกลับแพร่กระจายเร็วกว่าความจริง
และนี่คือความอันตรายของ สงครามแบบลูกผสม (Hybrid Warfare)-ที่ใช้ข้อมูลผิดๆ สร้างความเข้าใจผิดอย่างเป็นระบบ
คำถามสำคัญคือ-ทำไมข้อพิพาทชายแดนยังเกิดขึ้นทั่วโลก?
คําตอบ คือ “โครงสร้างทางประวัติศาสตร์” ที่ยังไม่ถูกรื้อถอน
เพราะเส้นเขตแดนจำนวนมาก ไม่ได้ถูกกำหนดโดยคนในพื้นที่
แต่ถูกลากไว้ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม โดยไม่เข้าใจภาษา ชาติพันธุ์ หรือชุมชนจริง
เช่น
– เปรู-เอกวาดอร์ ขัดแย้งจากแผนที่ยุคล่าอาณานิคมที่ตีความไม่ตรงกัน นำไปสู่สงครามชายแดนหลายครั้งในศตวรรษที่ 20
– ชาด-ลิเบีย ขัดแย้งเรื่อง “Aouzou Strip” ที่ถูกลากเส้นโดยฝรั่งเศสและอิตาลี ก่อนศาลโลกจะตัดสินให้เป็นของชาดในปี 1994
– เนปาล-อินเดีย ยังคงขัดแย้งเรื่องพื้นที่ Kalapani-Lipulekh จากสนธิสัญญา Sugauli ที่อังกฤษกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 1815
เส้นเขตแดนเหล่านี้คือรอยแผลของอาณานิคม ที่รอการรักษาด้วยกระบวนการเจรจา ไม่ใช่การใช้กำลัง แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อพิพาท ก็ยังมีประเทศที่เลือกเส้นทางตรงกันข้าม และประสบความสำเร็จในการคลี่คลายความขัดแย้งอย่างสันติ
– อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ ใช้เวลากว่า 20 ปี เจรจาแบ่งเขตทะเลซูลูตามหลักของ UNCLOS อย่างต่อเนื่อง
– โคลอมเบีย-ฮอนดูรัส หลีกเลี่ยงการยกระดับข้อพิพาท ด้วยการเจรจาทวิภาคีแบบค่อยเป็นค่อยไป
– อาร์เจนตินา-อุรุกวัย ตั้งคณะกรรมาธิการแม่น้ำร่วมกัน แม้จะเคยมีข้อขัดแย้งด้านสิ่งแวดล้อม
– นามิเบีย-แซมเบีย ใช้กลไกระดับภูมิภาคอย่าง SADC โดยให้ทั้งรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ ร่วมกันออกแบบแนวทางที่ยั่งยืน
จากกรณีเหล่านี้ ผมพยายามกลั่นบทเรียนร่วมให้เหลือเป็น 5 หมวดเครื่องมือสำคัญ ที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกความสำเร็จของการคลี่คลายข้อพิพาทชายแดน เราเรียกว่า (Integrated Negotiation Toolbox)
กล่องเครื่องมือเจรจาแบบบูรณาการ เท่าที่ผมสังเกตจะ ประกอบด้วย
(1) เครื่องมือทางการทูต (2) ช่องทางการสื่อสารทางสังคม (3) เศรษฐกิจในฐานะตัวยึดโยง (4) บทบาทเชิงสร้างสรรค์ของกองทัพ และ (5) กลไกระดับภูมิภาคที่หยิบใช้ได้จริง
หนึ่ง-เครื่องมือทางการทูต
เป็นรากฐานของการเจรจาที่ยั่งยืน เช่น คณะกรรมาธิการชายแดน ข้อตกลงทวิภาคี (MOU) และกรอบ UNCLOS ที่ทำให้ข้อพิพาทไม่กลายเป็นความขัดแย้งระยะยาว
สอง-ช่องทางการสื่อสารทางสังคม
Track 1.5 คือเวทีพูดคุยกึ่งทางการระหว่างรัฐ ภาคประชาชน และภาควิชาการ ร่วมกับสื่อสร้างสรรค์ และกลไกควบคุมวาทกรรมเกลียดชังที่อาจบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจ
สาม-เศรษฐกิจในฐานะตัวยึดโยง
การค้าชายแดน โครงการทรัพยากรร่วม และโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยง ล้วนช่วยสร้าง “ผลประโยชน์ร่วม” ที่ทำให้สันติภาพมีต้นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจที่จับต้องได้
สี่-บทบาทเชิงสร้างสรรค์ของกองทัพ
กองทัพที่อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน มีภารกิจชัดเจนในการปกป้อง ไม่ปลุกปั่น
เมื่อทหารทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ จะเป็นพลังของเสถียรภาพ ไม่ใช่ความไม่แน่นอน
ห้า-กลไกระดับภูมิภาคที่หยิบใช้ได้จริง
เรามีอยู่แล้วสองกลไกสำคัญ :
– ARF (ASEAN Regional Forum) ก่อตั้งในปี 1994 เป็นเวทีความมั่นคงที่เน้นการทูตเชิงป้องกัน (preventive diplomacy) รวม 27 ประเทศสมาชิก ทั้งอาเซียนและมหาอำนาจ เช่น สหรัฐ จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป
– TAC (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) ลงนามในปี 1976 วางหลักห้ามใช้กำลัง ห้ามแทรกแซงกิจการภายใน และให้เจรจาทุกข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ปัจจุบันมีผู้ร่วมลงนามกว่า 40 ประเทศ รวมถึงมหาอำนาจและสหประชาชาติ และในช่วงเวลาเช่นนี้เอง-ที่ความตึงเครียดชายแดนกำลังท้าทายความอดทนของผู้คน
เราควรใช้ ARF ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพื่อเป็นเวทีสร้างความเข้าใจ และเป็นโอกาสในการเตือนสติประเทศเพื่อนบ้านว่า เราทุกคนเคยให้คำมั่นไว้ร่วมกันภายใต้กรอบของ TAC
วันนี้ ผู้นำของอาเซียนหลายประเทศ-รวมถึงไทยและกัมพูชา-ล้วนเป็นผู้นำรุ่นใหม่
พวกเขาไม่ได้เป็นทายาทของสงครามเย็น แต่คือผู้เขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ของภูมิภาค
ข้อพิพาทตรงหน้าไม่ใช่แค่ปัญหา
แต่คือโอกาสว่าเราจะฝาก “มรดกแห่งความขัดแย้ง” หรือ “มรดกแห่งการคลี่คลาย” ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ในวันที่โลกเต็มไปด้วยเสียงแห่งความกลัว ใครจะกล้ายืนหยัดเพื่อสันติภาพ?
สงคราม อาจเกิดจากการตัดสินใจของคนไม่กี่คน
แต่สันติภาพ ต้องการความกล้าร่วมกันของทั้งผู้นำในภูมิภาค
และประวัติศาสตร์ กำลังเปิดหน้าขาวให้คนรุ่นนี้ได้เขียนตำนาน บารมีของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งของรุ่นพ่อครับ