เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

วิวาทะ ‘ราษฎร’ ในกฎหมายเลือกตั้ง

21.02.2023

ใครจะไปนึกคิดว่า คำว่า “ราษฎร” ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งนำมาใช้ในการคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัด ยังต้องมาถกเถียงกันว่าหมายถึงคนที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น หรือรวมคนที่มีชื่อในทะเบียนราษฎรแต่ยังไม่ได้สัญชาติไทยด้วย

การถกเถียงดังกล่าวนั้นจะไม่เกิดขึ้นก่อนหน้าปี พ.ศ.2558 เพราะก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยจะรายงานจำนวนราษฎรทั่วทั้งประเทศด้วยตัวเลขเพียงชุดเดียวเรียกว่าจำนวนราษฎรของประเทศไทย

แต่นับจากปี พ.ศ.2558 การรายงานตัวเลขของสำนักทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ชุด คือ จำนวนราษฎรสัญชาติไทย และจำนวนราษฎรไม่ได้สัญชาติไทย โดยให้เหตุผลว่าได้รับคำขอจากส่วนราชการให้แยกประเภท เพื่อหน่วยราชการที่ประสงค์จะใช้ตัวเลขชุดใดก็สามารถนำตัวเลขชุดที่เหมาะสมไปใช้กับหน่วยงานของตนได้

จนเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้นำตัวเลขจำนวนราษฎรแบบที่นับรวมผู้ไม่ได้สัญชาติไทยมาใช้ในการคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะใช้ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ.2566 วิวาทะว่า ควรใช้ตัวเลขชุดใดจึงจะถูกต้องได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่สร้างความเคลือบแคลงใจแก่ประชาชนว่า ชุดตัวเลขที่ กกต.เลือกใช้นั้นถูกต้องหรือไม่

และจะนำไปสู่การตีความที่บานปลายถึงขนาดผลการเลือกตั้งอาจเป็นโมฆะหรือไม่

แผนภาพที่ 1 : แสดงจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของจังหวัดเชียงใหม่ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2562

ผลความแตกต่างด้านตัวเลข

สํานักทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย ประกาศตัวเลขจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2565 ว่าประกอบด้วยจำนวนราษฎรสัญชาติไทยรวม 65,106,481 คน และจำนวนราษฎรไม่ได้สัญชาติไทย รวม 983,994 คน รวม 66,090,475 คน

การคำนวณค่าเฉลี่ยจำนวนราษฎรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 86 ของรัฐธรรมนูญ หากนำจำนวนแรกที่มีสัญชาติไทยมาคำนวณโดยเอาตัวเลข 400 ซึ่งเป็นจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตมาเป็นตัวหาร จะได้ค่าเฉลี่ย 162,766 คน แต่หากใช้จำนวนที่สองที่นับรวมผู้ไม่ได้สัญชาติไทย จะได้ค่าเฉลี่ยที่สูงขึ้นเป็น 165,226 คน

เมื่อนำค่าเฉลี่ยดังกล่าวมาเป็นตัวหารจำนวนราษฎรที่มีในแต่ละจังหวัด ก็จะเกิดผลแตกต่างที่ตามมา

เช่น ในจังหวัดที่มีราษฎรไม่ได้สัญชาติไทยจำนวนมาก เช่น เชียงใหม่ มีราษฎรไม่ได้สัญชาติไทยมากที่สุดถึง 161,567 คน ตาก 137,410 คน เชียงราย 132,515 คน จังหวัดเหล่านี้ย่อมมีความได้เปรียบในการได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้น

เช่น เชียงใหม่เพิ่มจาก 9 เป็น 11 คน ตาก เพิ่มจาก 3 เป็น 4 คน และเชียงรายเพิ่มจาก 7 เป็น 8 คน เป็นต้น

ซึ่งหมายความว่า จะมีอย่างน้อย 3 จังหวัด ที่ถูกลิดรอนสิทธิในการได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่ม หากจำนวนเพิ่มไปตกอยู่กับ 3 จังหวัดที่มีราษฎรไม่ได้สัญชาติไทยอยู่เป็นจำนวนมาก

แผนภาพที่ 2 : แสดงคะแนนของผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดเชียงใหม่ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2562

ผลกระทบ
ต่อจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจริง

นอกเหนือจากผลกระทบที่มีต่อจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของบางจังหวัดที่อาจแตกต่างไปจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งคำนวณแล้ว ภายในจังหวัดที่มีราษฎรไม่ได้สัญชาติไทยไปอยู่ที่บางเขตเลือกตั้งของจังหวัดนั้นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีราษฎรไม่ได้สัญชาติไทยมากกว่า 160,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยภูเขา หรือคนในพื้นที่สูงติดชายแดนประเทศพม่า

คนเหล่านี้อาจรวมอยู่ในบางอำเภอหรือในบางเขตเลือกตั้งเป็นผลให้จำนวนราษฎรที่มีสัญชาติไทยที่มีสิทธิเลือกตั้งจริงมีจำนวนน้อยผิดปกติ ทำให้อำนาจอิทธิพล อำนาจเงิน อำนาจรัฐ ยิ่งมีความหมาย

เมื่อกลับไปดูผลการเลือกตั้งทั่วไปของจังหวัดเชียงใหม่ในปี พ.ศ.2562 ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งยอมรับว่าได้คำนวณจำนวน ส.ส. จากราษฎรที่ไม่ได้สัญชาติไทยรวมเข้าไปด้วย เขตเลือกตั้งที่เป็นปัญหา คือเขตเลือกตั้งที่ 6 ที่ประกอบด้วยอำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง และอำเภอไชยปราการ และเขตเลือกตั้งที่ 7 ที่ประกอบด้วยอำเภอฝางและ อำเภอแม่อาย

จำนวนราษฎรของจังหวัดเชียงใหม่ที่รวมผู้ไม่ได้สัญชาติไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2560 (ใช้ปี 2560 ตามประกาศ คสช.) คือ 1,746,840 คน เมื่อคำนวณค่าเฉลี่ยจำนวนราษฎรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคนของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีทั้งหมด 9 เขต คือ 194,093 คน การแบ่งเขตแต่ละเขตควรมีผลในจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในแต่ละเขตที่ใกล้เคียงกัน แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงในแต่ละเขตแตกต่างกันเป็นอย่างมาก (ดูแผนภาพที่ 1)

จากแผนภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าเขตเลือกตั้งที่ 6 และ 7 มีจำนวนของผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนน้อยกว่าเขตเลือกตั้งอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญทั้งๆ ที่การแบ่งเขตมีจำนวนราษฎรที่ใกล้เคียงกันอันเป็นผลมาจากอำเภอที่อยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 6 และ 7 มีราษฎรที่ไม่ได้สัญชาติไทย ได้แก่ ชาวเขา ผู้ที่อยู่ในพื้นที่สูงอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ หากดูถึงผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น จะเห็นว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งในเขต 6 และเขต 7 ก็มีคะแนนที่ได้รับรับต่ำกว่าเขตอื่นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน (ดูแผนภาพที่ 1)

จากแผนภาพที่ 2 คะแนนของผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขต 6 และ 7 ของจังหวัดเชียงใหม่ มีเพียง 23,576 คะแนน และ 27,477 คะแนน ในขณะที่เขตเลือกตั้งอื่น ๆ ผู้ได้รับเลือกตั้งจะมีคะแนนตั้งแต่ใกล้ 40,000 ไปถึง 60,000 เศษ

แม้ว่าอาจมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น จำนวนผู้มาใช้สิทธิ การแข่งขันที่รุนแรงในแต่ละเขตที่แตกต่างกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหลักคือจำนวนของราษฎรสัญชาติไทยที่มีสิทธิเลือกตั้งของสองเขตดังกล่าวนั้นมีจำนวนน้อยอย่างผิดปกติอันมาจากหลักเกณฑ์การคำนวณจำนวน ส.ส. และการแบ่งเขตของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

 

ใครจะเป็นคนชี้ถึงความถูกผิด

คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจตามกฎหมายในการคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 86 ของรัฐธรรมนูญ แต่หากยังไม่มั่นใจในการตีความคำว่า “ราษฎร” ในมาตราดังกล่าวว่าจะหมายถึงราษฎรที่มีสัญชาติไทยที่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือหมายความรวมราษฎรที่ไม่ได้สัญชาติไทยด้วย กกต.สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้

สำหรับประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย หรือรู้สึกว่าถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งตีความในลักษณะดังกล่าวแล้วถูกริดรอนสิทธิที่จังหวัดตนควรมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่ม โดยถือเป็นคดีตามมาตรา 7(11) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ในประเด็นคดีที่ผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ร้องขอว่าการกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ก็สามารถร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินภายใน 90 วันนับแต่วันที่รู้ว่าถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ หากผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือพ้นกำหนด 60 วันที่รับเรื่องจากประชาชน ผู้ถูกละเมิดก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ ตามหลักการในมาตรา 48 ของกฎหมายดังกล่าว

หนทางปลอดภัยให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด คือ กกต.เป็นผู้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยโดยตรง

กกต.คงต้องเลือกระหว่าง เสียหน้าเล็กน้อยในวันนี้ กับ อาจเสียหายใหญ่หลวงในวันหน้า เรื่องนี้ต้องคิดเอาเอง

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

กระดอเย็น
ความฝัน ความรัก ของ ‘โชต้า’ จากกอนโดมาร์ถึงลิเวอร์พูล
เกร็ดน่ารู้ ‘ที่สุด’ กีฬาซีเกมส์ ไทยนับถอยหลังเป็นเจ้าภาพ
ตลาดซื้อขายที่ดินเงียบ
ผ่าสเป๊ก ‘Volvo EX30 Cross Country’ EV ตัวเล็กจอมลุย-ออปชั่นเทียบรุ่นใหญ่
จดหมาย
เดินตามดาว | ศรินทิรา
สลัดทูน่าอะโวคาโด
ดาวกับดวง วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2568
ขอแสดงความนับถือ
ลิซ่า ชี้ อดีตนายกฯ ขึ้นเวที ไม่ใช่การ “ผ่าทางตัน” ให้กับประเทศไทย แต่กลับเป็นการ “ตอกลิ่มประเทศ” ให้จมอยู่กับวังวนของปัญหาเดิม ๆ ยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าระบอบ
คำศัพท์พื้นฐานในโลกของฟอเร็กซ์ที่ต้องรู้ก่อนเทรด